Sep 20, 2012

เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh - India



click for Ladakh photo gallery

เพิ่งไปธิเบตมาเมื่อช่วงสงกรานต์ ~ไม่ประทับใจเท่าไหร่ พอเดือนมิถุนายนมี email จาก gotogether เจ้าเก่าส่งมาเชิญชวนไปเที่ยว “ธิเบตน้อย เลห์-ลาดัคห์ leh–Ladakh” พิจารณาแล้วราคาดูดี คุณแฟนท่านเลยอยากไป ประกอบกับน้องอ้อเซลล์เสียงหวานโทรตามหลัง email มาเชิญชวนซ้ำเข้าไปอีก คิดไปคิดมา เออ...ไปก็ได้วะ

โปรโมชั่นคราวนี้จัดกับ Kingfisher สายการบินใหญ่ของอินเดีย (จากที่อ่านจากเวปต่างๆว่าใหญ่น่ะ) ใช้เวลาเที่ยวรวมเดินทางประมาณ 7 วัน อากาศช่วงนี้กำลังดี ถือเป็นช่วงเริ่มไฮซีซั่นของแถบนั้น

มาทำความรู้็จักกันสักนิดก่อน เลห์ (Leh) คือเมืองหลักหรือเมืองหลวงของแคว้นลาดัคห์ (Ladakh Region) โดยที่แคว้นลาดัคห์คือ 1 ใน 3 แคว้นของ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ (Jampu-Kashmir State) อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียใกล้เขตชายแดนปากีสถานและธิเบต งงมั๊ย...เอาง่ายๆคือ อินเดียมี 28 รัฐ หนึ่งในนั้นคือ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ ซึ่งรัฐจัมปู-แคชเมียร์นี้แบ่งเป็น 3 แคว้นคือ แคว้นจัมปู, แคว้นแคชเมียร์ และแคว้นลาดัคห์ สรุปอีกทีว่า เลห์เป็นซับเซ็ตของลาดัคห์ ลาดัคห์เป็นซับเซ็ตของจัมปู-แคชเมียร์ และจัมปู-แคชเมียร์เป็นซับเซ็ตของอินเดีย....เฮ้อ....

1. อินเดีย อะเกน



วันแรกของการเดินทางเป็นช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน เป็นวันเกิดคุณแม่พอดี หลังจากไปทำบุญวันเกิด แล้วก็ทานอาหารกลางวันกัน ก็อาบน้ำเผ่นไปสนามบินสุวรรณภูมิ มีเจ้าหน้าที่มารอรับอยู่แล้ว มีไกด์เดินทางไปด้วย 1 คน พบหน้าตาค่าตาก็อุ่นใจ เพราะคือคุณหนึ่งเจ้าเก่าคราวไปเที่ยวราชาสถานปีก่อน กลับมาเจอกันอีกครั้ง Kingfisher IT026 ออกเดินทางเวลาประมาณ 20.30 น. ฟุตบอลโลกคู่ฮอลแลนด์-ญี่ปุ่นกำลังเตะกันอย่างเมามัน ดูไม่ทันจบก็ต้องขึ้นเครื่องเสียแล้ว ขอบอกว่าไม่ประทับใจ Kingfisher เท่าไหร่เลย มีดีที่เป็นจุดเด่นที่พูดกันจังคือมีจอทุกที่นั่ง แต่ว่าเครื่องก็เก่า เล็ก แคบ นั่งไม่สบายเอาซะเลย หลับก็ปวดหลังตื่นก็ปวดหัว....เอ...หรือจะเป็นที่อายุ...

อาหารแขกบนเครื่องไม่ถูกปาก แถมบ.ทัวร์คงไม่แจ้งเอา non-veg ให้ มันจึงมาเป็นมังสวิรัติทุกมื้อที่บิน (ถ้าจะไปเครื่องแขก ก็แจ้งสายการบินด้วยว่าไม่เอามังสวิรัติ ถ้าไม่ชอบ) นอนหลับๆตื่นๆไปสัก 4 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินนิวเดลลีในเวลากลางดึก ปรับนาฬิกาถอยหลังจากบ้านเราไป 2 ชั่วโมงก็เป็นเวลาอินเดียแล้ว ลงมารอรับกระเป๋าแล้วรวมสมัครพรรคพวกออกมารอรถบัสที่จะมารับพาไปนอนแว๊บที่โรงแรมในเมือง (แว๊บเดียวเพราะเช้ามืดก็ต้องออกมาสนามบินเพื่อต่อเครื่องไปลาดัคห์แล้ว ถ้ามาเองเราคงนอนที่สนามบิน ฮา..) อากาศนิวเดลลีเวลาเที่ยงคืนร้อนได้ใจจริงๆ เหมือนหนีร้อน (เมืองไทย) มาพึ่งร้อน (อินเดีย) ทราบจากคุณหนึ่งว่าอุณหภูมิประมาณ 39 องศา โอ้ว...แม่เจ้า



ทัวร์พาไปพักรร.อาวาลอน (Avalon) อยู่ตรงไหนไม่ทราบได้เพราะมืดไปรอบด้าน แต่รร.ใหม่มาก ห้องพักสะอาดกว้างขวาง มีครัวเล็กๆให้ด้วย เสียดายที่ได้พักแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว งัวเงียกันออกมาขึ้นรถบัสคันเดิม ซึ่งเมื่อวานแอร์เสีย แต่เช้านี้ซ่อมแล้ว (ค่อยยังชั่ว) ไปถึงสนามบินภายในประเทศ (อยู่ใกล้ๆกับสนามบินระหว่างประเทศนั่นแหละ) ตอนเช้าตรู่แต่คนเยอะมาก คนเต็มไปหมดทุกช่อง check in เราไปก่อนเวลาประมาณ 2 ชม. รอคิวแล้วรอคิวเล่า นังไกด์ท่องถิ่นก็แสนจะซื่อบื้อ พาเดินวกไปวนมา เข้าช่องโน้นออกช่องนี้กว่าจะได้เช็คนานโข แต่ว่าเครื่องก็ดีเลย์ไปเกือบชั่วโมงเหมือนกัน จึงมีเวลาเดินสำรวจสนามบินบ้าง อ้อ....อย่าลืมว่า ถ่านไฟฉายแบบ 2A หรือ 3A ไม่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง ต้องถอดออกจากอุปกรณ์แล้วโหลดใส่กระเป๋าใหญ่ขึ้นเครื่องไป อย่าหิ้วเด็ดขาด ขั้นตอนการตรวจ (Security check) ของอินเดียก็เข้มข้นมีชื่ออยู่แล้ว ตรวจกันหลายจุดทีเดียวกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง

Kingfisher เจ้าเดิม แต่เช้านี้นั่งไม่นานแค่ชั่วโมงเดียวพอไหว ผ่านไปครึ่งทางเริ่มเข้าเขตเทือกเขาหิมะ แสงเช้าสาดมางามมากๆ ดีที่กล้อง DSLR ไม่ได้ใช้ถ่าน AA เลยได้ใช้ถ่ายรูปเทือกเขางามๆไว้เยอะโข เครื่องร่อนต่ำมากมองเห็นยอดเขากันเลยทีเดียว ยิ่งลดระดับเครื่องก็ยิ่งโคลง ทั้งโคลงทั้งร่อนน่ากลัวพอดูเชียว ในที่สุดก็แล่นลงสนามบินชื่อยาวยาก Kushok Bakula Rinpoche, Lehได้อย่างปลอดภัย จากอากาศร้อนๆที่เดลลี ลงมาต้องคว้าเสื้อ jacket มาใส่กันทันที แดดแรงจ้าแต่ลมเย็นวูบ เดินฝ่าลมเย็นเข้าอาคารสนามบิน เป็นแบบ manual เสียทุกอย่าง ทั้งรับกระเป๋า ทั้งกรอกแบบฟอร์ม ทั้งตรวจ tag มีทหารถืออาวุธ เดินวนไปวนมาให้พอเสียว (กลัวที่ไหน ทำงานสีลมนะเฟ้ย เห็นภาพทหารถือปืนเดินปะปนชาวบ้านจนชินตาเป็นเดือนๆ)

รถที่มารับเป็นรถจี๊ปนั่งได้ 4 คน + คนขับอีก 1 ต้องใช้รถนี้ไปทุกวัน ออกจากสนามบินวันนี้ก็ไป check in เข้าที่พักก่อน พักผ่อนนอนหลับเพื่อปรับสภาพกันสักหน่อย เมืองเลห์นี่สูงประมาณ 3,500 ม.จากระดับน้ำทะเลเลย สูงสูสีกับธิเบต ผู้มีประสบการณ์อย่างเราจึงเจียมสังขารดีมาก เดินช้านั่งช้า เข้าห้องพักผ่อนตามคำสั่งไม่มีดื้อรั้น ที่พักชื่อ Alpine อยู่ไม่ไกลจากกลางเมืองและตลาด คือเดินไปเที่ยวตลาดได้สบายๆ แถบนั้นนักท่องเที่ยวเยอะ ที่พักสร้างใหม่ (อีกแล้ว) ป้ายชื่อยังไม่ได้ติดเลย ห้องพักที่ได้สมฐานะมาก เพราะอยู่ชั้น 3 แถมไม่มีลิฟต์ ขอบอกว่าที่ความสูง 3,500 ม.จากระดับน้ำทะเล การเดินขึ้นชั้น 3 มันเหมือนเดินขึ้นภูเขาทองยังไงยังงั้น เดินไปหยุดไปทุกชั้น เหนื่อยเพื่อแลกกับวิวภูเขาหิมะรอบด้าน ทั้งในห้อง และลานนั่งเล่นด้านนอกที่เราถ่ายภาพเทือกเขาหิมะนั่นทุกวันเช้าบ้างเย็นบ้าง ชอบจริงๆ....

กินข้าวเที่ยงที่ห้องอาหารด้านล่างแล้วขึ้นมานอนพักสักชั่วโมงกว่า ถึงเวลานัดบ่ายสามโมง ก็ลงไปรวมตัวกันด้านล่าง วันนี้เราจะเที่ยวในตัวเมืองเป็นน้ำจิ้มกันสัก 2 ที่คือ พระราชวังเลห์ (Leh Palace) กับ เจดีย์ชานติ (Shanti stupa) ทั้งสองที่อยู่มันกลางเมืองเลห์นี่แหละ นั่งรถไปแป๊ปเดียวก็ถึงแล้วเลห์พาเลซ ต้องเดินต่อขึ้นไปอีกหน่อยเพราะวัดวังเขาจะสร้างบนยอดเขากัน เดินกันไปช้าๆอย่างเจียมสังขาร หายใจไม่ค่อยคล่อง อาศัยใจสู้ กล้อง+อุปกรณ์ 5 กิโลที่แบกมาหนักเหมือน 10 กิโล ขาตั้งอีกกิโลนึง โยนให้แฟนแบกค่อยยังชั่วหน่อย เดินขึ้นไปไต่ดูแต่ละชั้นจนครบ 7 ชั้น ด้านบนมองวิวเมืองเลห์ได้รอบด้าน นั่งสูดอากาศพร้อมหายใจลึกๆเมื่อนึกได้ (ตามสโลแกนของโปรเผ่าสิงห์แห่ง FM.99) สภาพวังเก่านี้ไม่ใหญ่โตหรูหราเท่าพระราชวังโปตะลาที่ธิเบต แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมและโครงสร้างภายนอกเหมือนกันมากๆ ยิ่งมองจากด้านล่างขึ้นมายิ่งละม้ายคล้ายกันจริงๆ สมกับชื่อ โปตะลาน้อย เมืองเลห์เลยกลายเป็นธิเบตน้อยไปโดยปริยาย แต่ถ้านับตามระยะเวลาการก่อสร้างจริง พระราชวังเลห์นี่สร้างก่อนพระราชวังโปตะลาหลายสิบปี เลยไม่รู้ว่าจะเรียกว่าลอกกันได้มั๊ย หรือมันจะเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมของชุมชมแถบนั้นในช่วงนั้นก็ไม่แน่ใจ ขึ้นถึงลานด้านบนมองไปไกลๆเห็นเจดีย์สีขาวอยู่เลยออกไป คุณหนึ่งบอกว่านั่นคือ Shanti stupa ที่เราจะไปต่อไป เลยตั้งใจไว้ว่าไปถึงที่โน่นจะถ่ายภาพย้อนกลับมาที่พระราชวังเลห์คงจะสวยดี ยิ่งเป็นแสงช่วงเย็นๆด้วยแล้วคงเหลืองสวยน่าดู

นั่งรถกลับลงจากเขานี้ ไปขึ้นอีกเขานึง ห่างกันไม่ไกล เวลาก็เย็นย่ำคือห้าโมงกว่าใกล้จะหกโมงแล้ว แต่ฟ้ายังสว่างแจ้งอยู่เลย รีบเดินเข้าไปด้านในกลัวเขาปิด เห็นนักท่องเที่ยวแขกยังเยอะแยะเลยผ่อนฝีเท้ากันลง เดินขึ้นเนินไปอีก 1 หืด แวะเข้าไปไหว้พระในโบสถ์เล็กๆ มีลามะกำลังสวดมนต์อยูู่่ เสียงดูขลังกังวานมาก เลยอยู่ไม่ได้นานเดินออกมาขึ้นเนินต่อไปที่ลานเจดีย์ด้านบน แดดอ่อนๆลมเย็นๆกับวิวภูเขาหิมะรอบด้าน ทำให้นั่งแปะอยู่ที่ริมผาด้านหนึ่งไม่เดินไปไหนอีกแล้ว ปล่อยคุณแฟนเดินขึ้นไปบนเจดีย์ พิศดูให้รอบครบทุกชั้น รู้สึกว่ามี 3 ชั้นนะ เรานั่งเล่นอยู่ตรงที่เดิมร่วมค่อนชั่วโมง มองดูนักท่องเที่ยวแขกพาลูกจูงหลานมาเดินเล่นกัน นั่งรับลมเย็น (พร้อมอาบแดด) และซึมซับบรรยากาศเทือกเขาหิมะจนลืมไปถ่ายภาพพระราชวังเลห์อย่างที่ตั้งใจเลย ฮ่าๆๆๆ.....

ลงจาก Shanti stupa รถมาส่งที่ถนนกลางเมืองให้เราได้เดินเล่น ช็อปปิ้งกัน ต่างคนแยกย้ายกันไปเดินชมสิ่งที่ตัวเองชอบ เราก็เดินหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ใจกลางเมืองเล็กนิดเดียว เดินไม่เท่าไหร่ก็ทั่วแล้ว เย็นๆอย่างนี้จะมีชาวลาดัคห์ใส่ชุดพื้นเมืองเอาพืชผักมาวางขายกับพื้นเยอะแยะ ยามเราถ่ายภาพเขาก็ยิ้มให้ พร้อมเชิญชวนให้ซื้อ อยากอุดหนุนแต่ก็ไม่รู้จะซื้อผักไปทำอะไร เลยอาศัยถ่ายไกลๆเอาเกรงใจเขา ร้านค้าส่วนมากขายผ้ากับเครื่องประดับพวกหินสี มีร้านหนังสือแค่ 2-3 ร้านลองเข้าไปดูราคาเท่ากันหมดต่อไม่ได้เลย ไม่มีร้านขาย souvenir จุกจิกให้ซื้อเหมือนเมืองท่องเที่ยวทั่วไป มีร้านขายโปสการ์ดแต่ไม่มีแสตมป์ เดินผ่านไปรษณีย์เมืองเลห์ปิดเงียบเชียบ เล็งตำแหน่งเอาไว้เดินมาส่งโปสการ์ดวันหลัง (และก็ไม่ได้ส่งในที่สุดเพราะมันเปิด 10 โมง)

เดินกลับมาทานอาหารเย็นที่โรงแรมเช่นเดิม มองดูในล็อบบี้มีตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบพกอาวุธเต็มพิกัด นั่งอยู่เต็มไปหมด ได้ความว่ามีรัฐมนตรีมาพัก มองดูไม่รู้ว่าจะรู้สึกปลอดภัยหรือรู้สึกเสียวสันหลังดี......คืนนี้สั่งซื้ออ็อกซิเจนกระป๋องไว้กันพลาดเหมือนคราวที่ลาซา ที่นี่ราคากระป๋องละเกือบสี่ร้อยบาทแพงจริงๆ หลังอาหารกอดกระป๋องเอาขึ้นบนห้อง นอนดูทีวีแขกที่มีช่องมากมายมหาศาลแต่ฟังไม่รู้เรื่องสักช่อง บอลโลกก็ไม่มีให้ดู แต่ขี้เกียจเดินออกไปดูตามร้าน เลยนอนหลับเร็ว อุ่นสบายดีแม้ไม่มีฮีตเตอร์

2. เฉลิมฉลองวัดเฮมิสกันแบบฟลุ๊คๆ




วันนี้เราโชคดี เพราะวัดที่จะไปมีงานเฉลิมฉลองพอดี โปรแกรมวันนี้คือ วัดเฮมิส, วัดธิคเซย์, เชย์พาเลส, สต็อคพาเลส ซึ่งอยู่ในเส้นทางเดียวกันไปทางตอนใต้ของเลห์ ไกลสุดสัก 30 กม. เดือนมิย.-กค.เป็นช่วงเดือนที่วัดเฮมิสมีการเฉลิมฉลองประจำปี จะมีระบำหน้ากาก มีกางผ้าทังก้าด้วย ซึ่งปีนี้ดันมาตกเอาวันที่ 21 มิถุนายน ที่เราจะไปพอดี ดีใจน้ำตาปริ่มในความฟลุ๊ค ดูท่าคุณหนึ่งก็ดีใจพอๆกัน ขมีขมันกินข้าวเช้าซึ่งอยากจะกรี๊ดตอนลงมาเจอข้าวต้ม ไข่เค็ม ปลาสลิด ผักกาดดอง กรี๊ดด้วยความดีใจ ทัวร์อะไรรู้ใจมากๆ จะให้ฉันกินโรตีทุกมื้อทุกวันคงผอมตาย พร้อมแล้วออกเดินทางด้วยรถจี๊ปคันเดิม ขับกันไปเป็นคาราวาน จริงๆมีแค่ 4 คัน เพราะมีแค่ 14 คนแหละ เรียกซะดูขบวนยาวเชียว เรานั่งคันที่ 4 พี่คนขับดูเหมือนเป็นหัวหน้าแก็งค์ คอยดูแลขับปิดท้ายขบวนตลอด

เริ่มออกเดินทางประมาณ 8 โมง มองผู้คนตามข้างทางก็มีชาวบ้านออกมาขายของกันบ้าง อากาศสดใสหนาวสัก 15 องศาฟ้าใสปิ๊ง รถเริ่มออกนอกเมือง มองเห็นเทือกเขาหิมะไปตลอดทางอยู่หน้าบ้างข้างๆบ้าง สวยจริงๆให้ตายเถอะ ถนนที่ลาดัคห์นี่เขาสร้างเป็นมาตรฐานทั่วทุกที่ โดยมาตรฐานคือสร้างไว้เลนครึ่ง เวลารถจะสวนกันทีก็ต้องลงไปไต่ข้างทางตลอด รถของที่นี่จึงต้องเป็นรถเล็กแบบซิตี้คาร์เล๊กเล็ก และวีธีขับคือ บีบแตรและไม่เบรค......

ถนนราดยางอย่างดีแต่โดดดึ๋ง นั่งชมวิวกันไปเรื่อยสักชั่วโมงกว่า เลาะเขาไปบ้างบางช่วง เลียบแม่น้ำสินธุ (Indus) บางช่วง จนถึงทางแยกเมืองชื่อเสียวๆว่า คารู Kharu เราแยกออกทางขวาตัดผ่านเนินทุ่งด้านขวาขึ้นไป เริ่มเห็นชาวบ้านแต่งตัวสวยงามเดินกันเป็นแถวลัดเลาะขึ้นไปตลอดทาง มองเห็นรถเยอะขึ้นเรื่อยๆ รถไปส่งได้แค่จุดที่เจ้าหน้าที่กั้นก็ต้องลงเดินแบกกล้อง 5 กิโลอีกเหมือนเดิม คราวนี้มองเห็นวัดเฮมิส (Hemis monastery) บนเนินเขา คงจะสวยถ้าไม่มีผ้าใบกางบังวิวและคนไม่ยุบยับเหมือนหนอน แต่วันนี้มีงานวัดคนเลยเยอะเป็นพิเศษ แถมขึงผ้าใบทำเพิงขายของกันเต็มไปหมด พวกเรานัดแนะเวลากันว่าจะกลับลงมาตรงสี่แยกที่ลงรถกันประมาณ 11.30 น. เพื่อทานข้าวแล้วไปต่อที่อื่นตามโปรแกรม เริ่มเดินขึ้นกันไปร่วมกับชาวบ้าน ระหว่างทางมีร้านขายของ มีโยนห่วงเหมือนงานวัดบ้านเราเลย ดูสนุกกันดี เดินไปไม่ไกลก็ถึงทางเข้าวัด คนเยอะมากมายมหาศาล ตอนนี้ก็ต่างคนต่างเดินกันล่ะ เข้าไปด้านในวัด เขากั้นพื้นที่ลานส่วนกลางไว้ รอบนอกมีผู้คนจับจองที่กันเต็มลาน ฝรั่งหัวทองหัวแดงเต็มไปหมด ตากล้องนักข่าวเนืองแน่น ไม่รู้จะยืนตรงไหนได้ถึงจะมองเห็น สังเกตุการณ์อยู่พักหนึ่งเห็นพระที่กลางลานขายบัตรอะไรสักอย่างคนซื้อแล้วก็สามารถเข้าไปนั่งในลานด้านใน แต่ก็อยู่ริมๆนะ แต่มุมจะตรงข้ามกับตัววัดและบันไดขบวนลงเลย (ตอนนั้นเดาเอา) เลยตัดสินใจไปฟุดฟิดฟอไฟได้ความว่า 300 รูปีต่อคนนะนาย เอาวะ จ่ายไป 600 เข้าไปนั่งเบียดฝรั่งอยู่ด้านใน มุมมองใช้ได้เลย ด้านหนึ่งเขากันที่ให้กับพระ ลามะ และภิกษุณี นอกนั้นเป็นนักท่องเที่ยวเต็มเลย ฝรั่งพวกนี้ส่วนมากมากับทัวร์เขาจัดมาดูงานนี้โดยเฉพาะ ได้คุยกับฝรั่งคนนึงเขามางานนี้โดยเฉพาะ ส่วนเราพูดอย่างภูมิใจว่า “กูฟลุ๊ค”

นั่งจองที่ตากแดดเหมือนเนื้อแดดเดียวได้เกือบชั่วโมงพิธีก็เริ่ม มีการกางผ้าทังก้าที่ผนังวัดแต่มันเป็นผืนเล็ก จากนั้นก็มีพิธีเชิญของไหว้อะไรไม่รู้ แล้วก็มีระบำหน้ากาก กดชัตเตอร์เป็นพัลวัน มุมพอใช้ได้ ส่องด้วยเทเล 80-200 โอเคอยู่ ดูระบำหน้ากากไปได้ 4 ชุด ยังไม่ทันถึงชุดใหญ่เลยเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบถึงเวลานัดสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วเลยจำต้องออก ขาออกนี่คือวิบากกรรมแท้ๆ หลุดจากลานพิธีออกมาแล้วก็ออกไม่ได้คนเยอะจนปิดทางเข้าออกหลักหมด เบียดกันไปเบียดกันมา ทรมานสิ้นดี สงสารชาวบ้านที่เราไปยืนบังด้วย เขาก็ดันให้เรารีบเดิน แต่เราก็ขยับไม่ได้เลย ระบบจัดการของวัดไม่ค่อยดีไม่เว้นทางเดินบ้างเลย คนเต็มพื้นที่ 100% มองไปมองมาเจอคนในกรุ๊ปตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ต่างคนพยายามหาทางออก กระจัดกระจายกันไป สุดท้ายเจอคุณหนึ่งพากันเบียดไปสองคน เจอทางออกแบบงงๆจากการถามพระ ท่านชี้เข้าประตูเล็กๆมืดๆก็ลองมุดกันไป ออกได้จริงๆแฮะ ออกมาด้านหลัง กว่าจะเดินลงมาถึงจุดนัดพบก็เที่ยงพอดี เจอกันยังไม่ครบคน แต่ละคนต่างเล่าเรื่องผจญภัยของตัวเองอย่างตื่นเต้น บ้างเบียดบ้างแหวกบ้างปีน มันส์จริงๆ ทยอยๆกันลงมาจนในที่สุดขาดอีก 1 คน รอนานแล้วจนใกล้บ่ายก็ไม่มาสักที จึงเดินลงไปลานจอดรถด้านล่างกันก่อนเพื่อทานข้าวกล่อง เหลือเซงเก้ไกด์ท้องถิ่นรอที่จุดนัดพบ จริงๆแล้วเซงเก้วิ่งขึ้นวิ่งลงไปหา 2 รอบแล้ว แต่คนมันเยอะมาก หาไม่เจอหรอก

ทานข้าวกับไก่ทอดพร้อมน้ำมะม่วง 1 กล่องก็สบายแล้ว นั่งรอนั่งหลับกันในรถไม่รู้นานเท่าไหร่ น่าจะอีกสักเกือบชั่วโมง ในที่สุดเซงเก้ก็พาพี่เขากลับมาจนได้ เย.....รีบออกรถไปกันต่อเพราะช้ากว่าแผนไปหน่อยแล้ว นั่งขโยกกลับออกมา ย้อนทางเดิมแวะที่ต่อไปคือวัดธิคเซย์ (Thiksey Monastery) วัดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง แต่วัดเฮมิสดูดพลังงานไปเกือบหมด เลยดูเนือยๆกันไปบ้าง วัดธิคเซย์นี่อยู่ในมุมที่สวยดี มองจากด้านล่างเห็นวัดใหญ่ๆอยู่บนเนินเขา คิดได้ว่าต้องไต่เขากันอีกแล้วซิ แต่ก็ยังใจสู้ชูสองนิ้ว เดินขึ้นไปด้านบนเข้าไปนมัสการพระศรีอาริย์องค์ใหญ่ยักษ์เป็นอย่างแรก จากนั้นก็เดินชมภาพวาดฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาไปตามห้องต่างๆสลับกับถ่ายภาพวิวรอบด้าน ปีนป่ายกันจนเป็นที่พอใจก็กลับ

ออกจากวัดธิคเซย์ ขับรถย้อนต่อไปอีกแวะอีกจุดที่เมืองเชย์ (Shey) เมืองหลวงเก่าของลาดัคห์ ที่แรกคือ พระราชวังเชย์ (Shey Palace) เป็นพระราชวังเก่าก่อนย้ายไปที่เลห์ ที่วังนี้มีวัดอยู่ด้านในด้วย ทางเดินต้องขึ้นเนินอีกเช่นเคย แต่ละคนชักเริ่มหมดแรง แต่ก็เดินกันไปมองวิวให้ชื่นใจเป็นพลังในการก้าวขา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว แต่แดดยังแรงอยู่จึงรู้สึกหมดแรง มีบางคนขอรอด้านล่าง อาจเป็นเพราะเบื่อมากกว่ามันเหมือนๆกัน แต่เราขึ้นหมดแหละเพราะแต่ละที่จริงๆมันไม่เหมือนกันหรอก ขึ้นมาด้านบนมีเจดีองค์ใหญ่ และเข้าไปนมัสการพระศากยมุณี ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ ส่วนที่เราเดินดูจริงๆนี่เป็นพระราชวังส่วนใหม่ที่ Deldan Namgyal สร้างขึ้นให้เป็นที่ระลึกถึงพ่อ Singay Namgyal ส่วนวังเก่าเลยที่พ่อสร้างไว้ มันเป็นซากๆอยู่ข้างๆกัน มองแล้วมีลักษณะเหมือนป้อมปราการบนเขามากกว่า ใจจริงอยากเดินไปที่วังเก่าแนวนั้น แต่เซงเก้บอกว่าเรามีอีกที่ๆจะไปกลัวว่าเขาจะปิดซะก่อน เลยจำต้องลาเชย์พาเลสแต่เพียงเท่านั้น

นั่งรถปุเลงๆไปอีกหน่อยก็มาถึง สตอคพาเลส (Stok Palace) บางคนเรียกว่าพิพิธภัณฑ์ เมื่ออำนาจกษัตริย์ล่มสลายจึงย้ายจากวังมาอยู่ที่สต็อคพาเลสนี่ ปัจจุบันก็เปิดให้เข้าชมภายใน มีการจัดตู้โชว์เครื่องประดับของใช้ต่างๆ เห็นเครื่องประดับศีรษะราชินีด้วยเทอร์ควอยซ์ 108 เม็ดแล้วงามแท้ๆ พื้นที่บางส่วนไม่อนุญาตให้เข้าและขอให้เดินเยี่ยมชมโดยสงบ เพราะปัจจุบันก็ยังมีลูกหลานเชื้อสายดั้งเดิมอาศัยอยู่ พื้นไม้มีสภาพทรุดโทรมพอควรเดินทีดังเอี๊ยดๆได้อารมณ์ร่วมมากๆ เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ จนถึงห้องสุดท้ายที่มีภาพทังก้าโบราณเป็นสิบๆผืน ไปยืนพินิจพิเคราะห์กันอยู่นาน เห็นใจเจ้าหน้าที่รอปิดจึงกลับออกมา มานั่งเล่นดื่มน้ำดื่มกาแฟที่คาเฟทีเรียด้านนอก วิวเป็นเทือกเขาหิมะแบบพาโนรามากันเลย

วันนี้เหนื่อยและหมดแรง แต่ยังออกไปเดินเล่นในเมืองหลังอาหาร เวลาที่ออกไปก็เกือบสามทุ่มแล้ว แต่ละแวกที่เราอยู่คึกคักไปด้วยฝรั่ง เหมือนถ.ข้าวสารบ้านเราเลย เดินเล่นไปจนถึงถนนหลัก ร้านยังพอเปิดอยู่บ้าง ฝรั่งก็ยังเดิน เลยไปสอยหนังสือภาพลาดัคห์มา 1 เล่ม แพงจริงๆเกือบห้าร้อย ขนาดเท่ากันของประเทศอื่นเคยซื้อแค่สามร้อยเอง แต่ทุกร้านราคาเท่ากันเช็คแล้วเลยซื้อไม่งั้นคงอดได้

อ่านตอนต่อไป >> เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนจบ)

1 comment: