Sep 13, 2013

Sydney Trip …. ฉันมาทำอะไรที่(ซิด)นี่

Sydney Trip …. ฉันมาทำอะไรที่(ซิด)นี่(ย์)

Trip: June 2013

ตามชื่อเรื่องเลย ด้วยว่ามีพี่ๆน้องๆเค้ารวมตัวกันจะไปเที่ยวเมลเบิร์น-ซิดนีย์ เขาวุ่นวายเตรียมเอกสารขอวีซ่า
กัน ไอ้เราก็เลยไปเปิดพาสปอร์ตดูวีซ่าที่เคยขอตอนไปทัสมาเนียปลายปีก่อน เพิ่งจะเห็นว่ามันเป็น Multiple 6 เดือน จะหมดอายุกันยายนแน่ะ ก็นึกอยากเก็บกระเป๋าตามพี่ๆน้องๆไปออสเตรเลียด้วยทันควัน ง่ายๆอย่างนี้แหละ!

แรกเริ่มต้องไปตั้งต้นที่เมลเบิร์นก่อนนะเพราะพี่ที่ไปด้วยเค้ามีน้องชายทำงานอยู่ที่โน่นก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมสักหน่อยก่อน นับญาติไปมาฮามากน้องชายพี่เค้าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนกะแฟนเราเฉยเลย โลกกลมจริงๆ พวกเราเลือกบินไปกลับซิดนีย์วันแรกต้องไปต่อเครื่องเพื่อไปเมลเบิร์น นึกว่าจะตกเครื่องเสียแล้วเพราะขาไปดีเลย์ไปเกือบ 2 ชม. แต่สุดท้ายมันก็ทัน ถึงจะบินภายในประเทศสายการบินเดียวกันก็ไม่สามารถเช็คยาวไปเลยได้ ต้องรับกระเป๋าออกมาแล้วลากกระเป๋าออกไปเทอร์มินอลข้างๆเพื่อเช็คอินใหม่!! ใครจะไปต่อเครื่องที่ซิดนีย์ให้เผื่อเวลาด้วย ของเราถือว่าโชคดีมาก เพราะจากที่กะให้มีเวลาล้างหน้าแปรงฟันกินข้าวก่อนต่อเครื่องสบายๆกลายเป็นเวลาเหมาะเจาะมากลากกระเป๋ามาบอร์ดเลย 55

Photo Gallery 'Australia 2013' at pbase.com


.
.

Melbourne Day 1

เมลเบิร์น!!! ฉันคิดถึงเธอ แต่เธอเล่นเอาฝนมาถล่มจนฉันเครียดเลย ดีว่าน้องชายพี่เค้าเอารถมารับไปเช็คอินโรงแรมกัน แล้วเจ้าถิ่นก็พามาแวะตรอกแห่งศิลปะ Hosier Lane ที่เค้าภูมิใจนำเสนออย่างมาก เออ..แฮะ ถ้าไม่มีเจ้าถิ่นพามาก็ไม่รู้หรอกนะ มันก็สวยจริง เสียอย่างเดียวฝนตก! แต่มาแล้วก็ต้องเดินชม แอ๊กท่าถ่ายรูปกันไปแบบเปียกๆ ดูแล้วขนาดตากล้องยังพานางแบบออกมาถ่ายแบบกลางฝนเลย เราก็บ่ยั่นแหละ

เที่ยงนี้ไปกินอาหารจีนแถวไชน่าทาวน์กัน อร่อยเหมือนคราวก่อนเลยกินกันจนอิ่ม ฝนก็ยังไม่หยุดตก เลยต้องเป็นการขับรถเล่นชมเมืองแทนการเดินเล่น เจ้าถิ่นขับพาวนไปตรงโน้นตรงนี้ มีแวะซื้อวิตามินด้วยเพราะวันนี้มันวันอะไรไม่รู้ ร้านขายยาลดราคาวิตามินแบบ 50% กันเลย ลดวันสุดท้ายด้วย เลยลงไปกวาดกันมาคนละ 4-5 กระปุก

แผนแรกว่าจะหาซื้อเครื่องดื่มเย็นๆไปนั่งจิบแถบ St.Kilda  แต่ฝนมันก็ไม่หยุด จิบกันไประหว่างทางพอถึงก็หมดพอดี 555 เลยลงไปเดินรับลมกันนิดหน่อยไม่ไหวล่ะหนาว  นัดแนะกับเจ้าถิ่นไว้ว่าเจ้าถิ่นจะพาไปดูเพนกวินเดินกลับรังแบบฟรีๆ ที่คราวก่อนเราต้องขับรถไปเสียเงินดูถึงเกาะฟิลลิปส์นั่นแหละ เจ้าถิ่นบอกว่าโน่นนนนน แถว St.Kilda ตรงปลายแหลมโน่นมี แต่ว่าฝนมันยังลงปรอย จะเดินกันออกไปดูก็คงไม่ไหวนะ เสียดายจริงๆเลย วนไปวนมากลับโรงแรมนอนดีกว่า เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว

.
.

Melbourne Day 2

เช้านี้อากาศดีผิดกับเมื่อวานเลยทีเดียวแฮะ...เดินเที่ยวเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย จากตรง Town hall เดินผ่านโบสถ์ไปถึง Flinders Station ได้สบายๆ ถ่ายรูปได้ตลอดทาง ตึกสวย สถานีรถไฟก็สวย สังเกตุว่าคนเมืองนี้ขี่จักรยานกันเยอะมาก ตามจุดท่องเที่ยวใหญ่ๆ จะมีจักรยานจอดให้หยอดเหรียญเอาไปใช้ด้วย ทำแผนการท่องเที่ยวเหมือนฟินแลนด์เลย พื้นฐานคนเขาคงไม่ขี้ขโมยแบบไทยด้วยละมังนะ

มีบางคนอยากไป Aquarium แต่เราขอบายเพราะเพิ่งดูมาคราวก่อน แต่เดินชมเมืองไปทั่ว อากาศอย่างนี้มันสุดยอดเลย แดดดีฟ้าใส เหมือนคนละประเทศกับเมื่อวาน

เมลเบิร์นเมืองเป็นสี่เหลี่ยม เดินหรือนั่งรถราง(ฟรี) รอบๆก็ได้ มีตึกมีพิพิธภัณฑ์สวยๆให้เดินเล่นเพียบเลย เย็นๆไปจบแถบริ้มแม่น้ำยารา (Yarra River) ก็ดีนะ บรรยากาศดีมากๆ ดูแผนที่เอาไม่ยาก > แผนที่เมลเบิร์น



Jul 28, 2013

มาเลเซีย 3 วันเหนือยันใต้


Trip: April 2013

อยู่ดีๆพี่ท่านก็บอกว่าไปเที่ยวมาเลย์กันเถอะ ไปมะละกากัน ห้ะ...บอกวันจันทร์แล้วบอกไปวันศุกร์เลย ห้ะ....แม้ว่ามะละกาเป็นที่ๆเราคุยกันไว้ว่ามีโอกาสจะไปเที่ยวกัน แต่ก็ยังไม่ได้หาข้อมูลจริงจังนะ แต่นานๆทีพี่ท่านจะติ๊สแตกชวนเที่ยวแบบติ๊สๆอย่างนี้ ต้องสนองท่านเสียหน่อยจัดแจงคุ้ยลิงค์เก่าใหม่มานั่งอ่าน ลองจัดโปรแกรมคร่าวๆ เปิดเวปจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก ท่านอยากไปมะละกา เราอยากไปเลโก้แลนด์ด้วย เอาล่ะจัดแล้วได้ประมาณนี้

Day 1: BKK – KL >> KL Tour
Day 2: KL-MLK >> MLK Tour
Day 3: MLK-JHB >> Lego Land >>> SG – BKK

ลองดู น่าจะได้ แค่ 3 วันก็พอ เลโก้แลนด์อยู่ด้านใต้ของมาเลเซียแทบจะติดกับสิงคโปร์ดังนั้นพิจารณาแล้วคิดว่านั่งรถข้ามไปสิงคโปร์เร็วกว่านั่งรถย้อนกลับมากัวลาฯ ดังนั้นจำต้องซื้อ Air Aisia นะ แม้จะไม่ปลื้มสายการบินนี้เอามากๆก็เหอะ.. โอเค....โก โก โก


Day1 : Bangkok – Kuala Lumpur 


เราเลือกเวลาบินเที่ยวแรกเลย ยอมตื่นเช้ามากๆไปนอนบนเครื่องเอา เพื่อจะได้มีเวลาเที่ยวตอนบ่าย ไปถึงสนามบิน LCCT (Low Cost) สนามบินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก อารมณ์ประมาณสนามบินตจว.บ้านเรา ผ่านตม.มาแล้วพี่วัฒน์ก็ไปซื้อซิมอินเตอร์เน็ทเอาไว้ใช้เลือกแบบราคา 25 ริงกิตของ Digi ก็น่าจะใช้พอ เล่นเน็ตอย่างเดียวไม่ต้องโทร จะโทรมาใช้เครื่องเราเพราะเปิดโรมมิ่งมา การซื้อสะดวกสบายมีหลายยี่ห้อ เสร็จเรียบร้อยรับกระเป๋าก็ออกมา เพื่อหารถเข้าเมือง จากการอ่านรีวิวต่างๆมา จับใจความได้ว่าจาก LCCT นี้ไม่มีรถไฟเข้าเมืองถ้าอยากขึ้นรถไฟต้องนั่ง shuttle bus ไปขึ้นที่ต้นทางซึ่งอยู่ที่ KLIA (Kuala Lumpur International Airport) ซึ่งมันก็ห่างกันอยู่หลายกิโล หรืออีกทางเลือกก็นั่งรถบัสเข้าเมืองไปเลยมีอยู่หลายสายหลายบริษัทฯ มีตู้ขายตั๋วอยู่ตรงประตูทางออกเลย คนไทยเราเป็นพวกตามๆกันไป จึงเลือกใช้ตามที่อ่านมาคือ Sky bus  ในราคา 9 ริงกิต ซื้อแล้วเดินออกไปด้านนอกตามทาง ผ่านไปด้านหน้าอาคารผู้โดยสารภายในประเทศอันนี้ออกแนวหมอชิตจริงๆ ผ่านไปจะเห็นชานชาลาจอดรถบัสเยอะแยะ มองหาชื่อรถของเราคันสีเหลืองๆ รีบไปขึ้นเลย เพราะมันออกเป็นรอบๆอย่าให้พลาดต้องรออีกเกือบครึ่งชม.

นั่งไปเรื่อยๆรถไม่ติดเท่าไหร่ ประมาณชั่วโมงนึงก็ถึง รถไม่ติดเท่าไหร่อาจเพราะเป็นวันเสาร์ จะมาติดในเมืองก็แค่นิดเดียว รถที่เรานั่งมันสุดสายที่ KL setral ซึ่งเราเลือกจองที่พักแถวๆนี้ เพราะเห็นว่าเป็นสถานีรถไฟใหญ่เดินทางสะดวกและพรุ่งนี้เราจะต้องไปต่อรถเพื่อไปมะละกาแต่เช้า ลงรถแล้วไม่ต้องเดินตามคนอื่นขึ้นสถานีรถไฟไปเพราะยังไม่ไปไหนและไม่ได้จะจองอะไร เดินลากกระเป๋าออกถนนไปเลย เอาแผนที่โรงแรมมาเปิดดูทิศทาง เดินไปไม่ไกลข้ามถนนไปเลี้ยวอีกนิดหน่อยก็ถึงที่พักล่ะ  My Hotel Sentral ห้องก็ขนาดกลางๆไม่ใหญ่ไม่เล็ก สะอาดแค่พอใช้ได้ จัดแจงล้างหน้าล้างตาหาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วออกเที่ยวกัวลาฯดีกว่า นี่ก็บ่ายโมงแล้ว

เราใช้บริการรถไฟฟ้าของกัวลาฯเริ่มจากสถานีบ้านเราน่ะแหละ เราจะไปแถบไชน่าทาวน์ก่อน เดาเอาว่าน่าจะมีของกินอร่อยๆ (มั่วเอา) จาก KL Sentral นั่งสาย Rapid KL ไปลงที่สถานี Masjid Jamek ออกจากสถานีจะเจอ Cetral market แต่เราเดินเข้าถนน Petaling ไปค่ะ เดินดูของหาข้าวกิน ได้กินข้าวมันไก่ ข้าวหน้าเป็ด คนสับไก่พูดไทยได้ด้วย ไม่รู้เป็นพม่าหรือเปล่า แล้วก็เดินเล่นวนกลับไปทาง Jalan Sultan บ้านแถวนั้นเป็นเรือนแถวปูนโบราณสวยดี เห็นมีป้ายรณรงค์ต่างๆอยู่ คงพยายามคัดค้านการสร้างอาคารใหม่ๆมาทำลายพื้นที่ประวัติศาสตร์ มันก็น่าเสียดายจริงๆนะ อาคารเก่าสวยๆทั้งนั้น แต่ต่างคนก็ต่างใจ ชาวบ้านบางคนเค้าก็อาจจะอยากมีอาคารใหม่สวยๆหรูๆบ้างก็ได้นะ จะให้เค้าอยู่แต่บ้านเก่าๆ

เดินเล่นสักพักก็วนกลับมาสถานี นั่งรถไฟสายเดิมไปอีกนิดลงที่สถานี Dang Wangi เพื่อไปเดินดูย่าน จัตุรัสเมอร์เดก้า (Dataran Merdeka) ออกจากสถานี เดินหลงผิดทิศไปหน่อยเค้าไปกันทางซ้าย ไอ้เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เลยไปเจอวิวนี้ก็สวยดี เดินไปอีกนิดก็ถึง KL tower แล้วนะ แต่ไม่รู้จะไปทำไมแต่ป่านนี้ เลยต้องแวะถามทางอาตี๋คนนึง ฮีช่วยเหลือดีมากพร้อมชี้ย้อนกลับไปทางที่เรามา ฮ่าๆๆๆ สุดท้ายก็เดินย้อนกลับไปจนถึงมาเดการ์สแควร์ แดดมันโหดมากจริงๆ เดินกันเหงื่อหยด ไม่ไกลแต่หมดแรงได้เลย แถบนี้มีอาคาร Sultan Abdul Samad Building ที่ปัจจุบันเป็นที่ทำการรัฐบาล รูปทรงอาคารสวยงามมีหอนาฬิกาคล้ายบิ๊กเบนเลย มองดูอังกิ๊ดอังกิด.... ข้ามถนนไปที่สนามหญ้าใหญ่ๆ มีธงชาติเยอะ มีนักท่องที่ยวลงรถทัวร์มาถ่ายรูปเยอะมาก เดินไปสักพักไม่ไหวจะละลาย ทนเดินไปจนสุดสนามเพื่อหาร้านนั่งพักก็ไม่มีเลย แต่มาพบ KL City Gallery เลยเข้าไปหลบแดด ปรากฏว่าดีมากเลย มีนิทรรศการภาพถ่ายสวยๆของ KL แล้วก็มีประวัติอาคารอนุรักษณ์ต่างๆ มีเมืองจำลองสวยๆอยู่ชั้น 2 เจ๋งดี แอร์ก็เย็น ถือเป็นการพักร้อนไปในตัว ลงมาด้านล่างมีร้านช็อปปิ้งมีหนังสือ แล้วก็รูปแกะไม้สามมิติสวยดี 

ออกจาก City gallry ก็เดินวนกลับไปสถานี ไม่ได้เดินย้อนทางเดิม แต่เดินเลียบคลองอ้อมไปด้านหลังสถานีรถไฟ ไปขึ้นรถไฟสายเดิมต่อไปอีก คราวนี้เราจะไป Petronas Twin Tower กัน มันต้องไปอ่ะนะ นั่งไปลงสถานี KLCC มองหาป้าย Suria แล้วเดินๆไปเรื่อย (ทางในสถานี) จะไปโผล่ใต้ตึก petronas เลย Suria มันเป็น shopping mall ที่ใหญ่มาก เข้าไปเดินเล่นได้เย็นๆใจ ถ้าอยากถ่ายรูปก็เดินออกมาหน้าตึก ฝั่งอาคารสำนักงาน เค้าจะมีจุด photo spot เลย แต่จริงมันยังใกล้ไปมันแหงนมาก แต่ก็ถ่ายรูปแบบแปลกๆสนุกๆได้ ถ้าอยากได้ภาพมุมกว้างของอาคารจริงๆต้องเดินออกไปไกลๆอีก หรือไม่งั้นก็ลงก่อนสักสถานีแล้วเดินมาอาคารน่าจะมีมุมมองสวยตามทาง แต่เราไม่ไปล่ะร้อน ถ่ายรูปแหงนๆแปลกๆหน้าอาคารแล้วเข้าไปเดินเล่นด้านใน หากาแฟจิบนั่งพัก รอเวลาเย็นๆจะได้ถ่ายภาพอาคารที่มีแสงพร้อมฟ้าสวย 

ราวๆหกโมงเย็นก็เดินทะลุหลังตึกออกไปด้านหลังที่เป็นสวนสาธารณะ มีสวนน้ำ มีสวนเด็กเล่น เดินเลยไปไกลๆหน่อยบนเนินมองกลับมาที่ตึกได้มุมพอใจ จึงนั่งรอเวลา โอ้โห...ลืมไปว่าเวลามันเร็วเกินพระอาทิตย์นะ กว่าจะมืดก็เวลาท้องถิ่นทุ่มนึงพอดี เลยพอได้รูปตึกแฝดที่เริ่มเปิดไฟพร้อมท้องฟ้ายามเย็นมาดังนี้ (เจ้าขาวตัวใหม่ ยังไงภาพที่ได้ก็ยังแจ่มสู้เจ้า D7000 ของเราไม่ได้ อะฮึกๆแต่นึกแล้วขี้เกียจแบก)



ถ่ายรูปจนพอใจ ฟ้ามืดสนิทเดินกลับมาที่ตึก ด้านหลังเป็นน้ำพุเต้นระบำ แสงสีเสียงสวยงาม คนดูเพียบ ดูอยู่พักใหญ่ ไม่หมดสักทีแต่หิวแล้วเหนื่อยแล้ว เข้าตึกไปนั่งกินข้าวในฟู๊ดคอร์ท อิ่มแล้วจับรถไฟกลับโรงแรม สลบเหมือด

Jan 2, 2013

Korea Chic & Chill

TRIP NOV.2012 : SEOUL, KOREA


ไปเกาหลีตามสัญญาที่ให้ไว้กับน้องๆ LYH เมื่อ 3 ปีก่อนว่าจะรวมตัวกันไปเกาหลีอีกรอบ ผลัดมาเรื่อยๆจนปีนี้ลงตัวแต่ก็รวมกันได้ไม่ถึงครึ่งทีมของปี 09 T__T เสียดายแต่ไม่เสียใจ แค่ 4 คน ยังไงก็ไปรำลึกความหลังกัน แถมเพิ่มน้องใหม่ที่ไม่เคยไปเกาหลีไปอีกคนรวมเป็น 5 คนก็กำลังเหมาะ

ปีนี้ไปเดือนพฤศจิกายน ก็หนาวอยู่ แต่ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองสวยงามไปหลายถนน บางวันก็หนาวกำลังดี แต่บางวันฝนตกแฮะ!! จริงๆไม่ใช่ฝนนะมันเป็นน้ำแข็งแบบลูกเห็บเลยเหอะ แต่ส่วนมากแค่หนาวลมแรงๆ คราวนี้พัก hongdae guesthouse สุดแสนสบายอยู่ติดสถานี Hongik เลย ชนิดว่าโผล่ขึ้นจาก Exit 1 ก็ถึงเลย ห้องใหญ่โตพักได้เป็นสิบเถอะ แต่เค้าให้พักมากสุด 6 คน พร้อมครัวเล็กๆในห้องด้วย

ถนนที่แนะนำให้ไปเดินดูใบไม่เปลี่ยนสีตามสไตล์ชิคแอนด์ชิลมีหลายเส้น เช่น คาโรซุกิล เดินไปเรื่อยๆ โผล่ไปย่านอัพกูจองได้เลย มีของให้เดินช็อปได้เยอะแยะน่ารักทั้งนั้น

คาโรซุกิล (Garosu-gil)

แถบคังนัมก็สวยใช่เล่น ถนนกว้างๆคนเดินกันขวักไขว่ ดูแล้วคึกคักดี ใบไม้สีเหลืองตลอดถนนรวมกับตึกสวยๆ เป็นวิวถ่ายรูปได้ดีเลย ไปเดินเต้นกังนัมสไตล์สักหน่อยก็น่าจะดี

แถบอัพกูจองก็สวยดี ถนนกว้าง ตึกสูงๆ ย่านไฮโซมีแต่ร้านแบรนด์ดัง แต่เราไปเดินเล่นเอาบรรยากาศได้ เราไปเดินเล่นวันไปร้านกาแฟแจจุง เดินชิคแอนด์ชิลไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกับใบไม้เปลี่ยนสีตามรายทาง

อีกที่ที่เราไปคือสถานีวิทยุโทรทัศน์ KBS เพราะน้องเจนอยากไปเยี่ยมร้านกาแฟ Handel and Gretel ของเยซอง ซูปเปอร์จูเนียร์ ที่อยู่ถนนด้านหน้าของตึก ปรากฏว่าพอนั่งรถไฟไปลงสถานี National Assembly เดินออกทางออก 4 โผล่ขึ้นไปบนถนน โอ้ว....ถนนนี้มันสวยมากเลยนะ

KBS radio and television network

Jan 1, 2013

ย่ำต๊อก..โตเกียว

TRIP OCT.2012 : TOKYO, JAPAN

Tokyo trip photo galley at pbase.com


ย่ำต๊อก..โตเกียว

กลับจากออสเตรเลียได้แค่ 2 อาทิตย์ก็บินไปโตเกียว! ตัดสินใจฉับพลันบินตามน้องอีกคนที่ไปก่อน ได้วีซ่าก่อนไปแค่ 2 วันเหอะ ถ้าไม่ผ่านล่ะซวย! คราวนี้เลือก China Eastern Airline ไป transit ที่เซี่ยงไฮ้ บินรวมๆประมาณ 10 ชม.จากที่บิน Direct flight แค่ 6 ชม. แต่ประหยัดได้หมื่นนึงก็เอาวะ แต่ค้นพบว่ามันไม่ดีเอาซะเลย ที่นั่งค่อนข้างแคบ อาหารก็ไม่ค่อยดี และการไป transit ที่จีนมันเสียเวลาตรงที่ต้องไปต่อแถวเข้าตรวจ passport และเข้า security scan อีกด้วยแม้คุณจะแค่ต่อเครื่อง (แต่แยกเคาเตอร์ต่างหาก จากคนที่จะผ่านเข้าเมือง) ถ้าคนเยอะๆก็รอกันนานหน่อยเพราะจนท.มีแค่ 2-3 คน และ เกทก็ไกลทุกที่ แถมสนามบินจีนก็เปลี่ยนเกทมั่วไปมา ต้องคอยดูดีๆ แถมขากลับดันเอาไปนั่ง Shanghai air ต่างหากซึ่งดูเครื่องไร้คุณภาพ หูฟัง ไฟอ่านหนังสือ ปุ่มอะไรๆก็ใช้ไม่ได้ ไฟรัดเข็มขัดก็ติดบ้างไม่ติดบ้างในแต่ละที่ แอร์-สจ๊วต เอาแต่มานั่งหลับไม่เก็บถาดอาหาร บลาๆๆๆ ดีใจที่รอดมาได้ เฮ้อ...คุ้มมั๊ย

ในที่สุดก็มาถึง Narita International Airport ได้ตามเวลา แรกเริ่มว่าจะนั่งรถไฟออกไปเที่ยวเมืองนาริตะฆ่าเวลา เพราะน้องอีกคนจะมา TG ถึงหลังเราสัก 3 ชม.กว่า ปรากฏว่าดูเวลาผิด มันแค่ 2 ชม.เศษๆ เลยคิดว่าไม่ไปล่ะ เพราะกว่าจะไปงมหาตั๋วหาสายรถไฟ (ก็เพิ่งลงเครื่องเพิ่งเคยมาโตเกียวนะ) กว่าจะนั่งรถไฟไปแม้จะแค่สถานีเดียวก็ตีซะว่า 20-30 นาที กว่าจะไปเดินเที่ยว เดินหาวัด กว่าจะกลับมาขึ้นรถไฟเข้าสนามบินอีก คงสูสีๆ ถ้าไม่หลง! เลยตัดใจไม่ไป นั่ง shuttle bus free จาก Terminal 2 ที่เครื่องเราลงไป Terminal 1 เลย ไปเดินช็อปปิ้งดูอะไรเล่นในนั้นพร้อมหาอาหารเที่ยงทาน มันมี Airport mall ให้เดินเล่นได้ แต่เรายังไม่ซื้ออะไรหรอก ดูราคาไว้ก่อน แล้วก็นั่งเล่น Free wifi ไปอีกสักพัก (Free wifi ที่นี่จะมีบางตำแหน่ง และคุณต้องกด accept agreement ก่อน มันมีให้เลือกภาษาอังกฤษนะ ลงทะเบียน email address ด้วย แค่นั้นแหละ)

เมื่อเจอกับน้องแล้วก็เลือกนั่งรถไฟ express เข้าเมือง คือต้องบอกว่า รถไฟของญี่ปุ่นมีหลายประเภทมาก ถ้าเอาประหยัดก็เลือกรถธรรมดา (เลือกได้ว่าเอาของบริษัทอะไร หลักๆคือ JR และ Keise) ซึ่งมันก็มีเส้นทางของมันต้องศึกษาดูว่าเราจะไปตรงไหน นั่งของใครไม่อ้อม และรถเที่ยวกี่โมงจอดป้ายไหนบ้าง ป้ายที่เราจะลงจอดมั๊ยหรือไม่จอดก็ต้องวางแผนว่าลงที่ไหนไปต่อสายอะไร บลาๆๆๆ และทั้ง 2 เจ้านี้ก็มีรถด่วนด้วย JR ก็เป็น Narita Express ส่วน Keise ก็เป็น Sky liner อันนี้อารมณ์เป็น Airport Express บ้านเราซื้อตั๋วที่เคาเตอร์มีเลขที่นั่ง มีที่วางกระเป๋า และจอดแค่ไม่กี่ป้ายจนถึงกลางเมือง น้องเค้าเลือก Sky liner ราคา 2,400¥ แพงใช่ย่อย เราพักแถบ Ikebukuro รถด่วนไม่จอดเลยต้องลงที่ Ueno station แล้วต่อรถไฟอีกสายไปลง Ikebukuro station ลากกระเป๋าเดินไปที่พัก ถึงที่พักเย็นพอดี!

การเดินทางในญี่ปุ่นหลักๆคือรถไฟ อย่างที่บอกว่ามีสายหลัก 2 เจ้าคือ JR และ Keise มันเชื่อมถึงกันได้หมด โยงใยยิ่งกว่าใยแมงมุม แถมยังรถไฟใต้ดิน Metro อีกสาย และรู้สึกว่ายังมีอีก การเดินทางอย่างประหยัดจึงควรวางแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวันว่าจะไปที่ไหน route ไหน หากซื้อเป็นตั๋ว 1 Day pass ได้ก็จะประหยัดเพราะมันขึ้นลงกี่เที่ยวก็ได้ใน 1 วัน แต่มันใช้มั่วไม่ได้นะ (ยังศึกษาไม่ละเอียดพอ และเราซื้อไปวันเดียวที่ไป Disney Land เพราะ ไปไกล ไป-กลับราว 800¥ แต่ 1Day pass มันแค่ 710¥ เป็นต้น วิธีสะดวกอีกแบบคือซื้อบัตร Pasmo card หรือ Suika card ซี่งเป็นบัตรเติมเงิน ค่ามัดจำบัตร 500¥ หาซื้อตามตู้อัตโนมัติหรือซื้อที่เคาเตอร์ ไม่ต้องห่วง ตู้มันง่ายกว่าที่คิดจิ้มเลือกภาษาอังกฤษก็ซื้อได้ ถ้าคุณไปเมืองนอกได้ก็ไม่ยากหรอกน่า ลองดู วิธีนี้เข้าออกรถไฟเส้นไหนก็ไม่ต้องคิดแปะมันอย่างเดียว สะดวกดี แต่ไม่ประหยัด ถ้าอยู่ไม่กี่วันก็อย่าไปคิดมากเลย บัตร 2 แบบนี้ถามคนญี่ปุ่นว่าต่างกันอย่างไร เจ๊แกบอกว่าต่างที่หน้าตาบัตรเพราะมันของคนละบริษัท - -อืมมม ใช้ได้เหมือนกัน และเอาไปใช้ซื้อของตามร้านสะดวกซื้อได้ด้วย อารมณ์เหมือนบัตรปลาหมึกของฮ่องกง (Octopus card) และบัตร T-money ของเกาหลีเลย

ไปเที่ยวอะไรมาบ้าง