Sep 16, 2012

Impression India.....ทริปขัดตาทัพ

Trip Feb.2009 : India [Golden triangle : Delhi-Agra-Jaipur]


“ไปอินเดียกันมั๊ย”
“เออ..ไปดิ ไหนๆก็มีวีซ่าแล้ว”
ง่ายๆอย่างนี้แหละ สำหรับการเริ่มต้นทริปอินเดียคราวนี้
ทริปอินเดียสั้นๆ 4 วันครั้งนี้ เราเรียกมันในหลายชื่อ เช่น ทริปเฉพาะกิจ ทริปแก้ขัด ทริปแก้คัน ทริปแก้เขิน ทริปทำลายวีซ่า เป็นต้น
ที่มีชื่อทริปแปลกๆก็เพราะเป็นทริปที่เกิดขึ้นมาหลังจากการล้มไม่เป็นท่าของทริปตะลุยราชาสถาน เมื่อคราวสุวรรณภูมิโดนยึด
การเมืองเป็นเรื่องเหนือเหตุและผล และไม่มีคำอธิบาย เลยไม่อยากพูดถึง....
ทุกครั้งที่เปิด passport แล้วเห็นวีซ่าอินเดียอันขาวสะอาดแล้ว พาลให้หงุดหงิดซะเหลือเกิน พอ gotogether travel เจ้าเก่าที่เราใช้บริการในคราวไปอียิปต์มี email มาเชิญชวนไปอินเดียทริปสั้นๆ 4 วัน ช่วงวันหยุด ความคิดเรื่องทำลายวีซ่าก็เลยเกิดขึ้น...


 วันแรกวันมหาเหนื่อย

          ตื่นแต่เช้ามืดแหกขี้ตามาสนามบินตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะเราบินการบินไทยที่รักคุณเท่าฟ้า TG323 บินตรงกรุงเทพฯ สู่เดลี ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. เป็นไฟลต์เช้าที่หลายๆคนชอบเพราะไปถึงแล้วเที่ยวได้เลย แต่เราว่ามันสุดแสนจะเหนื่อย ถ้าไป air India ก็บินสายๆก่อนเที่ยง ไปถึงเย็นก็พักผ่อนชิลๆได้ แล้วค่อยลุยวันรุ่งขึ้น แต่นักเที่ยวเขาคงไม่ชอบเพราะมันเสียเปล่าไป 1 วันนิ...
          สนามบินเดลีมีชื่อเป็นทางการว่า สนามบินนานาชาติ อินธิรา คานธี (Indira Gandhi international airport) ตามชื่อของนักสู้หญิงเหล็กของคนอินเดีย ที่โดนลอบสังหารไปเรียบร้อยแล้ว สนามบินไม่ใหญ่โตเท่าที่คิด เดินๆตามกันไป ตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ยุ่งยาก ช่องก็เยอะ อียิปต์ซะอีกช่องน้อยแถวยาวเป็นกิโล ตรวจ passport แล้วเข้ามา เขาจะขอสแกนกระเป๋าถืออีกทีก่อนเดินไปรับกระเป๋าเดินทางที่สายพาน ทหารถือปืนเดินกันวนเวียนทั่วไปหมด รู้สึกปลอดภัยดี คิดไปอีกที เอ...มันต้องไม่ปลอดภัยฺซิวะถึงต้องมีทหาร.....
          รับกระเป๋าเสร็จ ปล่อยให้ผู้ร่วมชะตากรรม (ที่ยังไม่รู้จัก) ทั้ง 10 คนตามคุณหนึ่งไกด์ของเราไปแลกเงินรูปี เรา 2 คนไม่ต้องแลกหรอก หอบเงินรูปีร่วมหมื่นบาทมาจากเมืองไทย เพราะแลกไว้ใช้ทริปล่มเมื่อ 2 เดือนก่อนไง มาทริปนี้มาแบบทัวร์คงใช้เงินไม่ถึงหมื่นหรอก แต่ก็หอบมาให้หมด เผื่อจะวางมัดจำฮาเร็มสักห้องไว้ให้แฟนมาเที่ยวคราวหน้า.....กดเปิดโทรศัพท์หา operator service เจอ 3-4 อัน เลือกสุ่มๆไว้อัน เพราะที่เช็คมาล่วงหน้า ราคามันเท่าๆกันหมดเลย DTAC ส่ง sms มาทันที ตู๊ดๆๆๆ  wish you have pleasant stay…บลาๆๆๆ… exchange rate THB:INR 1:1.32…..ก็คิดง่ายๆว่า 1 รูปีประมาณ 3 สลึง แต่นังเพื่อนเรามันบอกว่าคิดเท่าๆไปเลย 1 รูปี 1 บาท ง่ายกว่า.....
     
     อารัมภบทมาร่วม 20 บรรทัด ยังไม่ถึงอินเดียซะที เอาล่ะ กายพร้อม ใจพร้อม เงินพร้อม คุณหนึ่งพาชาวเราทั้ง 12 คน ไปเจอ ดร.อาเจ๊ด DR.Ajed (ไม่รู้ ดร.ด้านไหนเหมือนกัน) ฮีสูงเพรียวดำสนิทยิ้มฟันเหลืองมาแต่ไกล แล้วก็พาเราเดินอย่างไกลไปรอขึ้นรถบัสที่นอกสนามบิน ช่วงบ่ายต้นๆที่อินเดียเดือนกุมภา ร้อนชนิดตับกระตุกทีเดียว นึกแล้วอยากหยิกคุณอ้อแห่ง GTT ซะจริง เธอบอกว่าอุณหภูมิมีเลขตัวเดียวค่ะพี่ ไอ้เราเลยขนแขนยาวผ้านุ่มหนามาหมดเลย เอ...แต่เราก็เช็คมาเหมือนกัน มันก็บอกว่า 10-27องศา นะ ทำไมร้อนอย่างนี้หว่า
อาเจ๊ด และ คุณหนึ่ง แห่ง GTT กำลังแนะนำตัว
     รสบัสคันใหญ่มาจอดรับ เราก็ว่าแหม...คนแค่ 12 คน เอารถมาซะใหญ่ น่าจะเล็กๆจะได้คล่องตัว ซอกแซกเข้าไปจอดที่เที่ยวได้ใกล้ แต่พอนั่งไป 2-3 วัน ถึงได้รู้ว่าเออ...ดีแล้ว เพราะนั่งรถทุกวัน วันละหลายชั่วโมง รถใหญ่ๆเบาะนิ่มๆ นั่งได้คนละล็อค มีที่วางของเหลือเฟือนี่แหละดีแล้ว แรกผ่านเข้าตัวเมืองเดลี มองเห็นรั้วกั้นก่อสร้างเยอะแยะ ส่วนมากเป็นรถไฟใต้ดิน MRT ของพี่แขกเขา แต่ ITD อิตาเลี่ยน-ไทยเจ้าเก่ามารับเหมางาน เห็นโลโก้อยู่ตามรั้วชัดเจน อย่าไปสร้างให้เขาร้าวเหมือนรันเวย์บ้านเราแล้วกันครับพี่น้อง....


อินเดียรถติด....ได้ยินมาอย่างนี้ ขอบอกว่าคอนเฟิร์ม!!!! รถมันติดกันวุ่นวายไปหมด ขับกันไม่มีแถวไม่มีแนว บีบแตรกันให้สนั่นลั่นถนน 2ไกด์ไบลิงกัว (bi-lingual) บอกว่าเขาบีบแตรกันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ท้ายรถบรรทุกหรือรถบัสถึงขนาดติดสติคเกอร์กันเลยว่า horn please…..ดูแล้ว...เออ...จริงแฮะ คนอินเดียมันบ้ากันเปล่าเนี่ย บางคนก็ติดว่า blow horn สั่งให้บีบแตรซะงั้น เมืองมันถึงดูหนวกหูวุ่นวายไปหมด
          กว่าจะถึงร้านอาหารก็นานโข อาหารเที่ยงวันนี้เป็นอาหารจีน รดชาดบรรยายยาก เอาวะ.... มื้อแรก เอาให้อิ่มๆ รดชาดอาหารเป็นปัญหารองของคนไทย ปัญหาใหญ่คือห้องน้ำ ร้านมีโต๊ะสัก 20 โต๊ะ มันมีห้องน้ำห้องเดียว!!! รอคิวกันไปเถอะ...อิ่มมื้อแรกก็นั่งรถไปขับวนชมเมือง ผ่านไปแถบ connaught place อาคารอะไรต่อมิอะไรฟังไม่ทัน สวยดีใช้ได้ แต่ถ่ายรูปไม่ได้ ก็อยู่บนรถไง กระโดดไปเบาะซ้าย ที กระโดดไปเบาะขวาที วู๊ย.....ถ่ายไม่ได้เลย เสียดาย......รอบๆบริเวณมีสนามหญ้าปลูกต้นไม้แบบเกาะกลางบ้านเรา คนอินเดียมานั่งกันเพียบ ถ้าเป็นเมืองไทยคงนึกว่าม็อบหน้าสภา แต่คุณหนึ่งบอกว่าเขามานั่งนอนเล่นพักผ่อนหลังอาหารเที่ยงกัน โอ้...แม่เจ้า นอนกันเกลื่อนไปหมด...


วนรถให้ดูน้ำลายย้อยได้ 2 รอบ ก็วนไปจอดด้านหลัง ประตูเมืองอินเดีย (India gate) หน้าตาเป็นแบบยุโรปมากๆ จำได้ว่าประเทศที่เคยโดนพวกยุโรปเข้าครอบครองมักมีประตูลักษณะนี้หราอยู่กลางเมือง เช่นเวียงจันทน์ อินเดียก็เคยโดนอังกฤษเข้ามาควบคุมครอบครองอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน แต่ประตูอินเดียมันไปเหมือนประตูชัยที่ปารีสซะงั้น.... ลงไปเดินชมกันพักใหญ่ เจอเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษากันเยอะมาก เด็กๆอินเดียน่ารักนะ กล้าด้วย ชี้ชวนให้ถ่ายรูปตลอด ไม่มีหลบ ไม่มีอาย โดยเฉพาะพวกเด็กผู้ชายยื่นหน้ามาเข้าแทบชนกล้องกันเลยทีเดียวเชียว...

คืนนี้จุดหมายที่พักคือเมืองอัครา ไม่ได้นอนที่เดลีหรอก ดังนั้นบ่ายแก่ๆเราก็ต้องนั่งยาวบึ่งไปเมืองอัคราซึ่งห่างจากเดลีไปราวๆ 200 กม. แต่ใช้เวลาร่วม 4 ชม. รถมันก็ติดได้ตลอดทางซิน่า ผ่านชุมชนเมื่อไหร่เป็นติด ระหว่างทางผ่านตลาดหลายที่ น่าถ่ายรูปมากๆ มาอินเดีย จะได้เห็นอินเดียจริงๆก็ต้องผู้คนนี่แหละ ยิ่งตามตลาด ท่ารถ ท่ารถไฟ นั่นแหละถึงจะได้สัมผัสอินเดียจริงๆ อึดอัดขัดใจเป็นอย่างยิ่ง ยกกล้องมาถ่ายผ่านกระจก ดึงซูมยาวไปหน่อยพลาดไปชนกระจกดังโป๊กๆ สัก 2 ครั้ง ก็ต้องยอมแพ้ งัดกล้อง compact ตัวน้อยมาส่องแทน พอได้ถูๆไถๆ เที่ยวทัวร์ก็อย่างนี้แหละต้องยอมรับ ไม่ใช่ทัวร์ถ่ายภาพนี่หว่า คิดได้ดังนั้น จึงนั่งยิ้มโบกมือกับชาวบ้านแทน......
กว่าจะไปถึงที่พักก็มืดตื๋อยกนาฬิกาที่ปรับแล้ว (ลบไปชั่วโมงครึ่งจากไทย) ตอนนี้ก็ราวๆสองทุ่มกว่า เมืองไทยก็สี่ทุ่มกว่าไปแล้ว มิน่าหิวชมัดจัดแจง check in เข้าห้องแล้วลงมากินข้าวเย็น อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ส่วนมากเป็นอาหารอินเดีย เริ่มได้กินแป้งทั้งนาน (naan) โรตี (roti) จปาตี(japati)  ฉีกจิ้มกับแกงต่างๆ ก็กินได้ บางอันอร่อยด้วยซ้ำ ตามถาดมันตั้งป้ายเขียนทับศัพท์ซะส่วนมาก แล้วจะรู้ได้ไงฟระว่าไอ้นี่มันเนื้ออะไร แปลกจริงๆเป็นอย่างนี้ทุกโรงแรม ......นานๆเที่ยวแบบทัวร์สักทีออกจะตื่นเต้น โรงแรม mansingh palace สภาพดี ห้องใหญ่ ห้องน้ำก็ใหญ่ มีเครื่องต้มน้ำกินกาแฟในห้องได้ มีที่เป่าผม วู๊ย....ไฮโซ ไอ้เราถนัดไปนอนตามเกสเฮาส์ กินข้าวข้างถนน มาคราวนี้เลยสบาย คืนนี้นอนหลับสนิทแบบใครเข้ามาปล้ำก็คงไม่รู้....

วันที่สอง ทัชก็แค่ทัช.....

          ตารางวันนี้คุณหนึ่งบอกแต่เมื่อวานว่า 6-7-8 นะครับ พร้อมวางกระเป๋าหน้าห้อง คืนที่สองย้ายที่นอนนะครับ เสร็จเรียบร้อยตามคำสั่ง ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเป็น ABF จัดการเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย วันนี้รายการแรกจะได้เห็น ทัชมาฮาล ไฮไลต์ของทริปนี้กันแล้ว....
ใช้โปรแกรมพาโนรามาบวกกับโฟโต้ช็อปตัดหมอกปรับแสงมากมายหลายขั้นตอน ได้ภาพพอดูได้นะ ^^
          นั่งรถไปสัก 10 นาที ก็ถึง ที่เราวางแปลนไว้ คิดว่าจะมานอนเกสเฮาส์ใกล้ๆรั้วทัชเลย แล้วเข้าทัชมันตั้งแต่หกโมงเช้า รอแสงเช้าสาดมากระทบหินอ่อน คงจะงามไม่น้อย...แต่...นั่นมันแผนที่เราจะมาเอง นี่มาทัวร์ครับพี่น้อง มาถึง east gate ของทัชตอนแปดโมงกว่า คนก็เยอะยั้วเยี้ยแล้ว แถมบุญวาสนาต่ำ วันนี้ฟ้าปิด มีแต่หมอกจางๆและควันของพี่เบิร์ด เห็นบรรยากาศแล้วได้แต่ถอนใจ....ดร.อาเจ๊ดจัดแจงไปซื้อตั๋ว สิ่งที่ได้มาคือตั๋ว น้ำเปล่าคนละ 1 ขวด ถุงผ้าเล็กไว้ครอบรองเท้า แล้วก็เริ่มเข้ากันได้ โดนตรวจค้นละเอียดทุกซอกมุม สิ่งของต้องห้ามทิ้งไว้บนรถ มือถือห้าม งงมากห้ามทำไมฟะ....ขาตั้งกล้องห้าม อันนี้รู้เลยไม่เอามาจากเมืองไทยเลย จริงๆคือขี้เกียจแบก เป็นตัวอย่างที่แย่มาก รักการถ่ายภาพต้องไม่ขี้เกียจ แต่เราขี้เกียจ ชัดเจน! บางคนบอกว่ากระเป๋าก็ห้าม เราเลยแบกกล้องกับเลนส์พะรุงพะรังไปหมด จริงๆกระเป๋าก็เอาเข้าได้แต่เอาแต่ของจำเป็น เปิดให้เขาตรวจก็โอเค...น้องผู้ชายหนึ่งในกลุ่มทัวร์ก็เอาเป้เข้าได้...เดินเข้ามาผ่านซุ้มประตูอิฐแดงแรก ก็มองเห็นทัชจางๆรางๆผ่านม่านหมอก....ยังถอนหายใจอยู่ ขาวไปหมด คนก็เยอะ หามุมถ่ายภาพยากมากๆ ก็เดินชักภาพไปเรื่อยๆ มีแขกดอยอยู่เป็นระยะๆคอยหลอกชี้จุดถ่ายภาพให้นักท่องเที่ยว...อีนี่จุดนี้แบบสวยสุดๆนะนาย...อีนี่ก้มดูที่น้ำซิมี reflection นะนายจ๋า....อี่นี่แขกจะพาไปดูมุมถ่ายภาพเจ๋งๆอีกนะนายจ๋า...ใครหลงกลพวกแขกดอยนี้ก็จะโดนเรียกเก็บเงินค่าบอกจุดในภายหลัง อย่าหวังมาหลอกคนไทย (จนๆ) อย่างเราเลย ไหนๆเอ็งชี้ตรงไหน เออ...จำไว้เดี๋ยวเดินมาดูเองทีหลัง ปล่อยแหม่มมันโดนหลอกไป...ฮ่าๆๆๆ มาหลอกอะไรกันวันนี้ ฟ้าปิดขนาดนี้ reflection อะไรกัน มองแทบไม่เห็น
     เดินไปจนถึงตัวโดมกลางอันลือลั่น จะเดินขึ้นไปบนนี้ต้องสวมผ้าครอบรองเท้าก่อน ขึ้นไปเดินชมสถาปัตยกรรมรอบๆก่อน ด้านหลังเป็นแม่น้ำยมุนา หากอากาศดีๆ แล้วมีเวลา ให้ข้ามฝั่งไปถ่ายภาพทัชจากฝั่งโน้น จะได้ภาพสะท้อนในแม่น้ำงามมาก เขียนเหมือนเห็นเอง ฮ่าๆๆๆ...แต่เรามาแบบบุญน้อยเวลาน้อย แม่น้ำก็แห้งฟ้าก็ปิด เอาล่ะถือว่าเป็นการทำความรู้จักแบบผิวเผินก่อน เดินดูอาคารรอบๆ มีลวดลายสีสันตามโค้งประตูอยู่บ้าง แต่...อืมมม...ไม่ได้อลังการอย่างที่คาดหวัง ความผิดของเราเองที่ดันไปรู้จักนครวัดนครธมมาก่อน ไปรู้จักปิรามิด วัด วังในอียิปต์มาก่อน ทัชก็เลยแค่ทัช.....
ที่น่าสนใจคือความรู้ความสามารถในการสร้างโดมใหญ่โตมโหฬารด้วยหินอ่อนได้รูปทรงเนียนงาม ลายแกะสลักอ่อนช้อยที่แผ่นหินอ่อนก็พอดูน่าสนใจบ้าง ด้านในเป็นแท่นวางโลงศพของมเหสีมุมตัส อันเป็นที่รักของกษัตริย์ชาห์จฮาน วางอยู่ข้างแท่นขององค์กษัตริย์เอง ถ่ายภาพไม่ได้ ให้ใช้ความทรงจำเอา ประวัติคร่าวๆก็คงรู้กันทั่วไปว่ากษัตริย์ชาห์จฮานสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของพระองค์ที่มีต่อมเหสีมุมตัส ซึ่งเสียพระชนม์เมื่อคลอดลูกคนที่ 15!!!

            

     ได้เวลาอยู่ในทัชแค่ประมาณ 2 ชม. ยังไม่ได้ภาพที่ถูกใจเลย ยังไม่ได้จังหวะสาวเดินส่าหรีปลิวกับฉากทัชมาฮาลเลยด้วย นี่เป็นพร็อพที่คิดไว้ตั้งแต่รู้ว่าจะได้มาทัช แต่ถึงเวลาจริงๆมันไม่ได้มีเวลารอจังหวะขนาดนั้น เลยหันมาถ่ายรูปเพื่อนเราเดินนวยนาดข้างทัชแทน...เฮ้อ...


     ออกจากทัชมาฮาล นั่งรถต่อไปอีกไม่ไกลเพื่อไปดู อัคราฟอร์ท (Agra fort) ป้อมปราการใหญ่ยักษ์อายุนับร้อยปี ที่นี่เราต้องเดินตามอับดุล ไกด์อาวุโสผู้คอยบอกเล่าประวัติต่างๆของป้อมนี้ คุณหนึ่งกำชับว่าอย่าแตกแถว ให้เดินตามๆกันไป เพราะป้อมอัครานี้ใหญ่มาก ต่างคนต่างเดินจะหลงกันหากันไม่เจอ เราก็เดินตามกันไปอย่างว่าง่าย กว่าจะสร้างอารมณ์ในการถ่ายภาพแต่ละมุมได้ก็โดนเรียกให้ไปต่อแล้ว ประเภทที่จะมารอมุมคนว่างก็อย่าหวังแค่พวกลุ่มเราเองก็สิบกว่าคนแล้ว ต่างคนต่างถ่าย ต้องรอพวกเราเอง move ไปก่อนแล้วรีบกดๆๆๆ ก่อนกลุ่มอื่นจะเข้ามา และก่อนจะโดนอับดุลกับอาเจ๊ดงาบหัว....ถ่ายไปเครียดไป....

     อัคราฟอร์ทนี้เป็นที่พักสุดท้ายของกษัตริย์ชาห์จฮาน พระองค์โดนลูกชายคือเจ้าชายโอรังเซบจับมาอยู่ที่นี่แล้วลูกชายก็ขึ้นครองราชย์เอง เล่ากันว่าเพราะลูกชายกลัวว่าพ่อจะเอาเงินทองไปสร้างปราสาทราชวังอีกฝั่งของแม่น้ำยมุนาเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักอีกอันหนึ่ง คราวนี้สร้างเป็นทัชแบบสีดำ อย่ากระนั้นเลยพ่อ เงินทองจะร่อยหรอ พ่อมาอยู่ซะที่นี่ จากที่นี่ก็มองเห็นทัชมาฮาลได้ เขาว่ากันว่าชาห์จฮานนั่งมองทัชจากป้อมนี้จนตายในที่สุด ไอ้เราก็อยากเห็นบ้างว่าการมองทัชมาฮาลจากที่นี้จะสวยงามซาบซึ้งขนาดไหน แต่ความรู้สึกที่ได้ก็คือหมอกจางๆและควันเหมือนเดิม......บุญกุศลทำมาน้อยฟ้ายังปิดอยู่อย่างนั้น เลยได้มองทัชแบบรางๆเลือนๆต่อไป....

          ป้อมปราการนี้ได้ต่อเติมใช้งานมาถึง 3 ยุคสมัยของราชวงศ์โมกุล มีขนาดใหญ่โต มีส่วนชั้นในชั้นนอก ส่วนสนมส่วนคนใช้ ไม่ต่างกับพระราชวังในจีน ในเกาหลี มาเป็นแบบแผนเดียวกันหมดกษัตริย์ได้ยลโฉมเชยชมสาวงามร้อยๆคนอยู่ด้านใน ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมา....เดินผ่านอาคาร ผ่านห้องมากมาย ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ส่วนมากไม่ได้ฟัง ได้แต่เดินถ่ายรูป มีนักเรียนนักศึกษาเยอะแยะเหมือนเดิม คนที่นี่ท่าทางจะเป็นการศึกษานอกโรงเรียนซะเยอะ วันนี้เจอกองทัพส่าหรีเดินกันเป็นแถว จับกลุ่มถ่ายภาพที่ระลึกกันเต็ม ไอ้เราก็อยากมีส่วนร่วมไปขอแหวกกลางถ่ายกับเขาด้วย พอกลมกลืนเพราะสีผิวดำพอกัน....
         ครึ่งวันเที่ยวไป 2 ที่ใหญ่ๆ โอ้ว...พระเจ้า ทัวร์ทำได้ครับ.....กลับไปทานอาหารกลางวันที่โรงแรม เป็นบุฟเฟต์อาหารแขกเหมือนเดิม แต่มีข้าวมีแกงให้กินด้วย ตามด้วยผลไม้กับไอศครีม อิ่มหมีพีมันเตรียมเดินทางไกลกันต่อ คืนนี้เราจะไปนอนที่ นครชัยปุระ (Jaipur) ห่างจากอัคราอีกเกือบ 300 กม. ต้องนั่งอีกร่วม 5 ชม. ระหว่างทาง ห่างจากเมืองอัคราประมาณ 40 กม. จะผ่านวังฟาติเปอร์สิกรี (Fatepur Sikri) แวะเข้าเที่ยวก่อน วังนี้เป็นวังที่พระเจ้าอัคบามาสร้างขึ้น หวังให้เป็นเมืองหลวง แต่ว่ามันแห้งแล้งจึงไม่เหมาะสมในการอยู่ ผลสุดท้ายจึงย้ายไปที่เมืองอัคราริมแม่น้ำยมุนาแทน สงสัยจริงว่า จะสร้างเมืองสร้างวังกันทั้งทีทำไมไม่คิดให้รอบคอบนะ สร้างกันเสียเงินเสียทองเสียแรงงาน ใหญ่โตมโหฬาร แล้วก็ไม่ได้ใช้ทิ้งไปซะงั้น


     วังฟาติเปอร์สิกรีนี่สร้างด้วยหินทรายแดง มีลวดลายสวยงามตามเสาคานอยู่บ้าง ได้รับการบูรณะซ่อมแซมดูดี ประกอบกับคนไม่มากเท่าไหร่ และเรามาถึงบ่ายแก่ๆ แสงอุ่นๆทำให้ถ่ายภาพได้ดีขึ้น เจอเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษากันอีกแล้ว เดินไปด้านหลังมองเห็นหอคอย Hiran Minar อยู่ไกลๆ ไม่ได้เดินไปดูได้แต่ซูมภาพเข้ามา ระหว่างถ่ายภาพ ได้ยินเสียงดัง ตูม...ใครโดดน้ำที่ไหนล่ะ....อ้อ...ใกล้ๆแถวนั้นด้านล่างจากชั้นที่พวกเรายืนมีบ่อน้ำอยู่ แขกหนุ่มนุ่งกุงเกงลิงกระโดดน้ำโชว์สาว พวกเราตบมือกันใหญ่ มันรีบปีนปากบ่อขึ้นมา เราพูดไปเล่นๆว่าระวังมาขอค่าโชว์นะ...บ๊ะ....เดาแม่นอย่างนี้น่าซื้อหวย แขกวิ่งโทงๆมาแบมือขอเงินเฉย....เอ็งโดดของเอ็งเอง แค่ตบมือให้กำลังใจ ดันมาขอตังค์ โดดธรรมดาต่างหาก ถ้ากระโดดควงลังกาหน้า 3 รอบก็ว่าไปอย่าง แขกนี่มันชอบขอตังค์จริงๆ พวกเราจึงแตกฮือตัวใครตัวมันไปด้านอื่น ปล่อยแขกกุงเกงลิงเปียกยืนบ่นพึมพัมๆอยู่คนเดียว....

     เริ่มเย็นลงทุกที ยังต้องเดินทางอีกไกล ดร.อาเจ๊ตกวาดต้อนพวกเรากลับขึ้นรถเหมือนต้อนเด็กอนุบาล พวกหนึ่งก็อยากถ่ายรูปต่อ พวกหนึ่งก็อยากซื้อของ พวกหนึ่งจะเข้าห้องน้ำ ฮ่าๆๆๆ...ดร.ก็เอาไม่อยู่ กลับขึ้นรถได้ ก็ปุเลงๆต่อไป ผ่านหมู่บ้าน ผ่านชุมชน แล้วรถก็ติดเหมือนเดิม เราก็ยังพยายามถ่ายภาพข้างทางเหมือนเดิม จนมืดเลยเลิกถ่าย เก็บกล้องนอนหลับพักเอาแรงดีกว่า ตื่นมาอีกทีดูนาฬิกาโอ๊ะ...จะสามทุ่มแล้วนาเนี่ย ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ถึงที่พักพอดี clarke amer hotel เมืองชัยปุระ อยู่ตรงไหนของเมืองก็ไม่รู้ได้ เพราะหลับมาตลอด ที่พักยังคงความหรูหราได้เหมือนเดิม คราวนี้โถงล็อบบี้ใหญ่โตโอ่โถงกว่าเดิมสว่างไสวด้วยโคมไฟระย้า แขกสาวเดินส่าหรีปลิวไสวเฉิดฉายมางานเลี้ยงในโรงแรม บ๊ะ...โรงแรมนี้เหมือนพลาซ่าแอทธินีเลยนิ (จินตนาการไปขนาดนั้น) check in เข้าห้อง อืมม...ห้องพักเล็กกว่าที่อัคราหน่อย แต่ก็สะดวกสบายเท่ากัน แถมเปิดทีวีแล้วมีช่องกีฬาให้ดูบอลพรีเมียร์ลีคได้ด้วย....สุดยอด...รีบลงไปกินข้าวแล้วกลับขึ้นห้องมาเชียร์หงส์ถล่มปอร์ทมัทก่อนหลับสบายอีกคืน

วันที่สาม เมืองสีชมพู ปิ๊งซิตี้  
               
          วันนี้คุณหนึ่งอนุญาตให้เด็กๆตื่นสายได้อีกครึ่งชั่วโมง เป็น 6.30-7.30-8.30 เพราะเราไม่ต้องเดินทางไปไหน เที่ยวมันแต่ในชัยปุระนี่แหละ เช้าวันนี้ฟ้าให้อภัยเรา เปิดสีฟ้าให้เห็นแล้ว แต่ก็ต้องแลกกับแสงแดดที่ร้อนแสบตัวพอควร แม้ลมจะเย็นแต่แดดแรงเข้าขั้นทีเดียว พอกครีมกันแล้วเตรียมตัวไป แอมเบอร์ฟอร์ท (Amber fort) เปิดโพยของ GTT อ่านดูหน่อย “แอมเบอร์ฟอร์ทหรือป้อมปราการแห่งเมืองชัยปุระ สร้างขึ้นโดยมหาราชาแมนสิงห์ ในปี ค.ศ. 1592 และเสร็จสิ้นลงในสมัยของมหาราชาใจสิงห์ เป็นป้อมปราการเด่นตระหง่านอยู่บนเนินเขา สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบราชปุต ริมเชิงหน้าผามีทะเลสาบซึ่งสะท้อนภาพของป้อมปราการแห่งนี้ให้เป็นทัศนียภาพที่น่าชมยิ่งนัก” วันนี้เราได้นั่งช้างขึ้นไปบนป้อม แขกให้พวกเรานั่งข้างเหมือนผู้หญิงซ้อนมอเตอร์ไซค์ ไม่ยักนั่งหันหน้าแบบช้างไทย แต่ก็ดี เพราะถ่ายภาพทิวทัศน์ได้แจ่ม ไม่ต้องเอี้ยวตัว สมาชิกในกลุ่มทุกคนรู้หน้าที่กันดี โดยไม่ต้องเอ่ยปาก ต่างผลัดกันยกกล้องมาถ่ายกันไปมา ยังกับยิงต่อสู้ ต่างฝ่ายต่างหวังว่าจะได้รูปบนหลังช้างกันบ้าง ..เราถ่ายไว้ครบทุกคู่ ว่าจะไปอัดลงจานเอามาขายหาทุนเที่ยวทริปหน้า ฮ่าๆๆๆ

 

          แอมเบอร์ฟอร์ทอยู่ในทำเลที่สวย มองจากถนนเห็นแนวกำแพงตามผา พอขึ้นไปด้านบนอาคารด้านในก็สวยเพราะมีสีสันลวดลายตกแต่งตามผนังเยอะกว่าที่อื่นที่ผ่านมา ที่นี่ก็เช่นเดิมดร.อาเจ๊ดคอยกวาดต้อนพวกเราให้เดินตามๆกันไป ลัดเลาะไปตามซอกตามซอย มีมุมถ่ายภาพน่าสนใจอยู่บ้าง เช่น ช่องหน้าต่างที่มหารานีไว้แอบมองไปภายนอก ลวดลายประดับหินและกระจกที่ผนังและฝ้า ภาพของเมืองด้านล่างมองจากเชิงผาก็สวยดีเพราะวันนี้ฟ้าเปิด เสียดายที่เราไม่ได้ไปถึงไจการ์ชฟอร์ท (Jaigarh fort) และ นาการ์ชฟอร์ท (Naragarh fort) ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปอีก มองลงจะมาเห็นแอมเบอร์ฟอร์ทและแนวรั้วป้อมปราการ ได้แต่คิดและจำไว้เพื่อมาทริปล้างตาคราวหน้า......เดินไปเดินมาในแอมเบอร์ฟอร์ทร่วมชั่วโมง วนมาบริเวณทางออก เจอห้องน้ำที่เก็บค่าเข้าให้เข้าเลย ขอบอกว่าสะอาดมากๆ และมีห้องเยอะแยะ ของพวกเราคุณหนึ่งจ่ายให้เลยเข้ากันฉลุย จำไม่ได้ซะแล้วว่ากี่รูปี แต่ไม่น่าแพงหรอก เข้าเหอะคุ้ม...ขากลับลงมาไม่นั่งช้างแล้ว แต่นั่งรถจี๊บปุเรงๆโยกเขย่าอวัยวะภายใน ส่งถึงปากประตูรถบัส แขกขายของต่างพุ่งเข้ามาขายของเหมือนเดิม ทุกครั้งที่ขึ้นลงรถก็ต้องผ่านสมรภูมิอย่างนี้ ส่วนมากคุณหนึ่งจะต้อนพวกเราขึ้นรถก่อน แล้วแกก็มีหน้าที่รับของจากพวกพ่อค้า ขึ้นมาเสนอขายแทน ใครสนใจก็ยกมือ ปรึกษากันว่าต่อราคาเท่าไหร่ดี แล้วคุณหนึ่งก็ลงไปต่อให้ ส่วนมากจะได้เพราะแกเขี้ยว...ฮ่าๆๆๆ จากของถุงละร้อย ต่อไปต่อมา แกได้ 2 ถุงร้อย ประมาณนี้ แกว่าอย่างนี้ควบคุมง่ายหน่อย ลูกทัวร์จะได้ไม่โดนรุมด้วย
     กลับเข้าโรงแรมพักกินอาหารกลางวัน บุฟเฟ่ต์อาหารแขกเหมือนเดิม แจมด้วยสปาเก็ตตี้กับไก่ทอด พออิ่มๆออกไปลุยต่อ ตอนเช้านั่งรถผ่านย่านเมืองชัยปุระไปแล้วครั้งหนึ่ง ตึกสองข้างทางสมัยสร้างเมืองเป็นอาคารที่สวยมากๆ แม้จะกลายเป็นร้านขายของหมดแต่รูปทรงอาคารก็สวยเป็นระเบียบตลอดแนว กระโดดเบาะซ้ายเบาะขวาเหมือนเดิม ถ่ายรูปไม่ได้ดีนัก แต่บ่ายนี้เราจะเข้าไปเที่ยวพระราชวังชัยปุระ (Jaipur city palace) ซึ่งอยู่กลางย่านนั้นเลย ลงรถในลานจอดแล้วเดินเข้าไปชมพระราชวังเก่า ซึ่งเปิดให้เข้าชมบางส่วน และเปิดอาคารเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยส่วนหนึ่ง ปัจจุบันทายาทของมหาราชาตระกูลซิงค์ก็ยังอยู่ในบริเวณนั้น (แบ่งสัดส่วนไว้ชัดเจนชื่อ Moon palace) เปิดบางส่วนเก็บเงินเป็นรายได้แบ่งกับรัฐบาลสบายไป ด้านในมีลานกว้าง มีอาคารต่างๆเยอะแยะ เราไม่ได้เดินทั่วทั้งหมด เอาแค่พอได้สัมผัสสมบัติมหาราชา แล้วก็ออกมา
     เดินเลาะไปตามถนนตึกงามนิดเดียวก็มาชม ฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) หรือ พาเลซออฟวินด์ แปลไทยได้ชัดๆว่า พระราชวังแห่งสายลม ที่นี่เป็นที่เก็บอีหนูของมหาราชา หรือที่เราๆท่านๆเรียกว่าฮาเร็ม  ภาพตึกฮาเร็มที่มีหน้าต่างบานเล็กร่วมหลายร้อยช่องกลายเป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งของชัยปุระไปแล้ว ช่องหน้าต่างนั้นก็เหมือนกับที่อื่นๆ เอาไว้ให้นางน้อยได้แอบดูโลกภายนอกบ้าง แต่อย่าได้เจ๋อโผล่หน้าออกไปให้ใครเห็นเชียว มหาราชาจะกริ้วเอาได้

พวกเราเดินตามดร.อาเจ๊ดเพื่อไปเข้าพระราชวังแห่งสายลมด้านหลัง ใครจะไปรู้ฟะว่าเข้าด้านหลัง เดินเข้าไปแล้วไต่ทางลาดขึ้นชั้นบนไปเรื่อยๆ โผล่หน้าชมเมืองแสร้งว่าเป็นอีหนูมหาราชากันครึกครื้น วิวด้านบนมองลงมาเห็นตึกตามแนวถนนที่สร้างด้วยหินทรายสีส้มแดงแล้วแกล้งถาม อาเจ๊ดว่า where is pink city? อาเจ๊ดก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ here!! เราทำคิ้วขนวด where? It’s not pink. ฮ่าๆๆๆ อาเจ๊ดทำหน้าเขินๆเลี่ยงไปว่า ก็ไม่ชมพูหรอก เมื่อก่อนน่ะชมพูนะ เกือบถามว่าระลึกชาติได้หรือไง รู้ได้ไงฟะ ส้มชัดๆเรียกว่าพิงค์ได้ไง แถมพี่แขกยังออกเสียงว่า ปิ๊ง ซะอีก ฟังดูเก๋ไก๋ไปเลย “ปิ๊งซิตี้”


     วิ่งวนกันจนพอใจก็ลงมาเดินเล่นกันตามถนน ปล่อยอิสระเดินช๊อปปิ้งกันได้ ไอ้เรามันพวกไม่รู้จะซื้ออะไร เลยเดินถ่ายภาพตึกสีส้มสวยๆเรื่อยไป วนไปวนกลับสองฝั่งถนน ถ่ายภาพแขกขายกล้วย ขายถั่ว ขายผักสนุกไป จนได้เวลานัดหมายกลับมารวมพลที่ลานจอดรถ ชื่นชมข้าวของที่ซื้อกันมา นั่งรถกลับโรงแรม วันนี้เป็นวันที่ได้กินข้าวเร็ว ดีใจจริงๆ เมื่อเช้าบ่นกับคุณหนึ่งว่าอยากกินเบียร์อินเดีย นี่ก็คืนสุดท้ายแล้วน่าได้ชิมหน่อย คุณหนึ่งบอกว่าเบียร์อินเดียก็ต้อง King fisher ตอนอาหารเย็นแกรีบมาส่งข่าวว่าไปลองดูบาร์ที่ชั้น 8 แล้ว น่านั่งมากเป็น outdoor นั่งจิบเบียร์ชิลๆท่าจะดี คุณหนึ่งท่าจะหิวเบียร์เพราะแกโซ้ยข้าวเย็นเร็วมากแล้วบอกว่าไปรอชั้น 8 นะ เสร็จแล้วเราก็รีบตามไปเพราะหิวเบียร์เหมือนกัน ฮ่าๆๆ...ไปถึงแล้วโอ้ว....น่านั่งจริงๆ ลมเย็นจนหนาว จิบเบียร์อินเดีย พร้อมฟังแกหลอกขายทัวร์ไปเรื่อยๆ ที่โน่นสวย ที่นี่สวย น่าถ่ายรูป ฟังจนเคลิ้มเก็บเข้า list ไปหลายที่ ฮ่าๆๆๆ.....ไม่ยักมีใครตามมาอีก นั่งกันอยู่ 3 คน จนชักหนาว เลยแยกย้ายกันกลับห้องไปนอน.....

วันที่สี่ ลาแล้วอินเดีย

        วันนี้ต้องตีรถยาวกลับเข้าเดลีใช้เวลาประมาณ 6 ชม. วันนี้คุณหนึ่งเลยเรียกแผน 5-6-7 หน้าตายังง่วงๆงงๆกัน เจ็ดโมงล้อหมุนอำลาชัยปุระ เริ่มออกจากเมืองมาได้สักพักมองด้านซ้ายไปเห็นพระราชวังลอยอยู่กลางลำน้ำ ที่เราผ่านไป 2 ครั้งแล้วเมื่อวาน แต่วันนี้มันเป็นตอนเช้า สวยมากกกกกกก.....แต่.....ถ่ายรูปไม่ได้ คนบ้าถ่ายรูปได้แต่นั่งน้ำลายย้อยตาปริบๆ โบกมือลาผ่านกระจกรถบัส

         เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็น นั่งรถกันมาแค่ชั่วโมงเดียว เริ่มมีเสียงขอแวะเก็บดอกไม้ (ศัพท์นี้ใครคิดฟระ) รถบัสจอดพรืดฝั่งตรงข้ามปั๊ม Indian oil สาวๆวิ่งข้ามถนนกันอย่างลืมตายเพื่อไปเข้าห้องน้ำ อาเจ๊ดกับคุณหนึ่ง วิ่งตามไปเคลียร์กับเจ้าของปั๊ม เคลียร์กันอีท่าไหนไม่รู้ อีแขกออกมาโวยวายลั่นปั๊ม ปล่อยอาเจ๊ดเถียงสู้ไป ที่เหลือก็เข้าไปฉี่กันเรื่อยๆ ไม่สนเฟ้ย.....สรุปว่าได้เข้ากันทุกคน พร้อมหน้าบูดๆของเจ้าของ....


     นั่งกันไปหลับกันไปใช้เวลาไป 6 ชั่วโมงจริงๆ บ่ายโมงถึงเดลี ไปกินข้าวกันก่อน เลี้ยวรถเข้าไปจำได้ทันที เอ๊ะ...ที่เก่านี่หว่า แต่ไปกินอีกร้านไม่ใช่อาหารจีนรดพูดยากร้านเดิม คราวนี้เป็นร้านหน้าตากึ่งผับ เพราะมืดและที่นั่งแบบ cozy ทีเดียว นึกว่าโผล่มาผับแถวทองหล่อ อาหารเป็นแบบระบุไม่ถูกว่าไทย-จีน หรือแขก ไก่ทอด ผัดผัก ผัดพริก แกงจืด กินได้อร่อยดี อิ่มกันดีแล้วก็พบปัญหาเดิม มันมีห้องน้ำห้องเดียว!!! อีกแล้วครับท่าน ดีที่ว่ามันอยู่ชั้น 2 ชั้นล่างก็มีอีกห้อง มีโต๊ะนั่งสิบกว่าโต๊ะ...ต่อคิวกันเข้าไป
ออกจากร้านเราไปไหว้พระกันที่วัดฮินดู ลักษมีนารายัณ (Lakshmi narayan) วัดนี้ห้ามถ่ายรูป ก็ดีไปอย่างเดินตัวเปล่าเข้าไปนั่งดูชาวฮินดูเขาสวดมนต์กัน แล้วก็เดินไปเคารพรูปปั้นต่างๆ พระศิวะ พระพิฆเนศ แม้แต่หนุมานก็เป็นรูปเคารพ ทำบุญไปบ้างตามศรัทธา ภายในวัดสงบดี สะอาดด้วย มองดูแล้วชาวอินเดียเข้ามาเพราะความศรัทธาจริงๆ นึกถึงคนไทยความศรัทธาในพุทธศาสนาแทบไม่หลงเหลือ เข้าวัดก็ไปตามธรรมเนียมที่ต้องไป ไปงานศพก็เอาแต่คุยกัน รอกินอาหารหลังจบ 3 คิดแล้วรู้สึกสังเวสใจพิกล....

     ออกจากวัด รถพาเราไปส่งแถวถนนจันปาธ (Janpath rd.) ปล่อยให้ช๊อปปิ้งกัน 3 ชม.!!! พระเจ้า เราจะเดินทำอะไรเนี่ย 3 ชั่วโมง แต่ลูกทัวร์คนอื่นๆท่าทางคึกคัก รวมทั้งยัยเพื่อนสาวเราด้วย ก็เลยต้องพลอยเดินไปเดินมากับเขา ไม่รู้ทำอะไรก็สอยผ้าคลุมไหล่มาฝากเพื่อนพ้องน้องพี่ผืนละ 200 ราคามาตรฐาน ได้หนังสือภาพราชาสถานมา 1 เล่ม สร้อยหินมา 2-3 เส้น เดินไปเดินมาไม่ถึงเวลานัดสักที ไม่ไหวแล้วไปนั่งรอที่ร้าน McDonald จุดนัดพบดีกว่า เมื่อรวมพลครบคนก็ออกเดินทางไปทานอาหารเย็น มื้อสุดท้ายในอินเดีย เป็นร้านอาหารจีน อาหารหน้าตาเดิมๆ แต่เรากลับกินไม่ค่อยลง ไม่ได้ว่าตื้นตันใจที่จะได้กลับบ้านหรืออะไร แต่คงเบื่อมากกว่า ใจคิดถึงแต่ผัดกระเพรา.....ปัญหาเดิมก็ตามมาเจอจนได้แม้เป็นมื้อสุดท้าย มันมีห้องน้ำห้องเดียว!!!! คราวนี้หนักกว่าเดิม เพราะเป็นร้านใหญ่ มี 2 ชั้น แถมทัวร์จีนลงต่างหาก ที่สุดประทับใจคือมันโคตรสกปรกเลย เป็นไปตามคาดร้านที่เป็นทัวร์จีนลง สกปรกตามสภาพของคนจีน มิได้อคติแต่เป็นเรื่องจริง ต่อแถวรอเข้าห้องน้ำจนแถบราดอยู่หน้าห้อง....
     เครื่องเที่ยวกลับ TG 316 ออกเวลาเที่ยงคืนนิดๆ เราไปถึงสนามบินก่อนสัก 3 ชั่วโมง เพราะคุณหนึ่งบอกว่าขั้นตอนการตรวจเยอะมาก ของที่ดูแล้วอาจเป็นอาวุธได้เช่นหินอ่อนแกะสลักอะไรพวกนี้ก็ต้องโหลดไป ข้าวของที่หอบซื้อจากถนนจันปาธจึงต้องมาทำการจัดยัดเข้ากระเป๋ากันที่สนามบินอีกที ติดต่อรับ boarding pass ตรวจกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย แต่คราวนี้โชคดีเขาลดการตรวจไป 1 จุดก็เลยเร็วขึ้น แต่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องทุกใบต้องมี tag ที่ได้รับการประทับตราตรวจแล้วเท่านั้นอย่าลืมกันเชียว เข้าไปด้านใน duty free shop เล็กเท่าๆสนามบินบรูไน เดินไม่เกิน 10 นาทีก็ทั่ว จะมีสนามบินแถบเอเชียประเทศไหนบ้าเท่าสุวรรณภูมิบ้านเรามั่งเนี่ย ร้านขายของทุกซอกทุกมุมจนมองหาห้องน้ำไม่เจอ....

     เครื่องออกดีเลย์นิดหน่อยแบบไม่โชว์บน flight information display ใครฟังภาษาอังกฤษแบบแขกไม่ออกอาจตกเครื่องได้ สงสัย FIDS คงจะเสีย ดีที่เราไปนั่งแถวๆ gate เลยเห็นเจ้าหน้าที่เปิดประตูกวักมือเรียกตั้งแถว...เฮ้อ...อาหารบนเครื่อง ดันเป็นข้าวกับแกงกะหรี่ไก่ซะอีก.......ไม่ไหวแล้ว no more palace, no more curry!!!!



ขี้เกียจอ่าน อยากดูรูปอย่างเดียว เชิญ http://www.pbase.com/ton_manuswee/india1

No comments:

Post a Comment