Sep 21, 2012

ลาวใต้กันอีกครั้ง


Trip Dec. 2010 : Southern Laos    




       พาที่รักไปเที่ยวลาวใต้มาช่วงวันหยุดเดือนธันวาคม ไปคราวนี้ห่างจากครั้งแรก 2-3 ปี คราวก่อนไปหน้าน้ำ ฝนตกตลอด และน้ำตกทุกที่เหลืองเพราะน้ำหลาก คราวนี้ลองไปหน้าหนาว ซึ่งไปแล้วมันก็ไม่ยักหนาวอย่างที่คาด แต่น้ำพอสวยหน่อย   เอา Mileage แลกตั๋วการบินไทยไปกลับอุบลไปนอนที่ทอแสงอุบล (ในเมือง) 1 คืน  

       เช้าก็จับสามล้อไปท่ารถบขส. เพราะหาข้อมูลมาได้ว่าเดี๋ยวนี้มีรถตู้คิววิ่งจากท่ารถไปช่องเม็กออกทุกชม. แต่ถ้าเป็นรถทัวร์ระหว่างประเทศวิ่งจากบขส.อุบล ไปถึงบขส.ปากเซเลย ก็มีเที่ยว 9.30 กว่าจะไปถึงปากเซก็เที่ยงกว่าโน่น ไอ้เรามันใจร้อน แถมอยากเที่ยวเยอะๆ เลยไปรถตู้เ็ร็วกว่า   รถตู้รอคนเต็มก็ออกได้เลยด้วยซ้ำไม่รอรอบ แปดโมงกว่าๆรถก็ออกแล้ว ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงด่านช่องเม็กแล้ว เดินแบกเป้ฝ่าแดดร้อนๆข้ามด่านไปประทับตรา Passport เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท คนเยอะพอควร แต่ที่น่ารำคาญคือพวกไกด์ที่ไม่มีมารยาทแซงคิวตลอดเกลียดจริงๆทั้งไกด์ไทยไกด์ลาวเลย ได้ด่ากันไปหลายคน เสร็จแล้วก็มาเดินวนหารถเช่า แต่ไม่เห็นสักคัน เลยสุ่มไปถามสาวลาวที่นั่งเป็นปชส.อยู่ข้างสวน น้องเลยแนะนำอ้ายลาวมา 1 คน พูดไทยชัดเจน ท่าทางเป็นหัวคิวของแถบนี้ พี่บอกได้เลย จัดให้รถนั่ง 2 คน เหมาไป 3 วันตกวันละ 1,500 บาท พอๆกับที่หาข้อมูลมา คนขับพูดไทยได้ชื่อ สัญจร เพราะพี่แกบอกนอนไหนก็ได้   

       ฮุนได 4W พาเราสองคนจากด่านวังเต่าฝั่งลาวปุเลงๆไปถึงปากเซในราวเที่ยงกว่าๆ เราตัดสินใจไม่แวะ บึ่งไปที่น้ำตกคอนพะเพ็งเลยดีกว่า หลับไปอีกตื่นประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงแล้ว หาอาหารกินเที่ยงกินซะก่อนเพราะหิวหน้ามืด เทียบจากครั้งก่อนที่มา เดี๋ยวนี้มีร้านรวงเปิดขึ้นเยอะแยะ จัดที่ทางจอดรถเป็นระเบียบขึ้น คนไทยเดินเที่ยวกันหลายกลุ่ม ทัวร์เต็มไปหมด นอกจากนักท่องเที่ยวไทยก็มีเขมร เพราะสัญจรบอกว่ามันใกล้ชายแดนเขมรมากเลยแถวนี้ ข้ามมาง่ายมาก 
  

     คอนพะเพ็งวันนี้น้ำไม่เหลืองขุ่นเหมือนคราวก่อน ฝนก็ไม่ตก แดดแจ๋จนเหงื่อตก น้ำไม่มากสามารถไต่ลงไปปีนป่ายตามโขดหินริมน้ำไ้ด้ แล้วแต่อยากเสียวมากเสียวน้อยก็ปีนกันไปตามสะดวก จึงเห็นคนปีนป่ายตามแง่งหินเต็มไปหมดถ่ายภาพลำบากจัง เลยอาศัยถ่ายภาพเจาะน้ำตกด้านไกลเอา จากนั้นก็ขึ้นมายืนถ่ายรูปบนศาลาอีกจุดหนึ่ง เป็นจุดเดิมกับคราวก่อนที่มา ความกว้างของน้ำตกเต็มความกว้างแม่น้ำโขงสวยงามดี 

บินไป-บินกลับ ขับรถเที่ยวที่"โครเอเชีย"

Trip Aug 2010 : Croatia




Hrvatska เป็นคำในภาษาท้องถิ่นของชาวโครแอต แปลว่าโครเอเชีย (Croatia) ประเทศนี้อยู่ตรงไหนของโลก?? ขอสารภาพว่าครั้งแรกที่ได้ยินชื่อก็มึนตึ๊บเหมือนกัน จนเพื่อนแก๊งค์ขาประจำบอกว่า โครเอเชียอยู่ใกล้ๆกับอิตาลี ถึงได้พอนึกพิกัดออก ด้วยว่าเพื่อนต้องไปธุระที่อิตาลีอยู่พอดีจึงมาเชิญชวนเพื่อนแก๊งค์ว่า ไปลุยโครเอเชียกัน!!


มองตามแผนที่ โครเอเชียอยู่ทางทิศตะวันออกของอิตาลี โดนกั้นโดยทะเลเอเดรียติค (Adriatic Sea) การเดินทางจากอิตาลีมาที่โครเอเชียก็แสนจะง่าย มี Ferry ข้ามจากอิตาลีมามากมายหลายบริษัท แล้วแต่เมือง เช่น จากเวนิสก็มีเฟอร์รี่นั่งข้ามมาที่เมืองโรวิญ่า (Rovinj) ของโครเอเชียได้ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่หากมาจากอันคอน่า (Ancona) อาจต้องนั่งนานหน่อยเพราะทะเลช่วงนั้นกว้างซะแล้ว สามารถจับเฟอร์รี่ข้ามไปเมืองสปลิท (Split) หรือ ดูบรอฟนิค (Dubrovnik) ก็ได้ ถ้าไม่ชอบเรือก็นั่งรถได้ อ้อมขึ้นด้านเหนือก็มีเขตชายแดนติดกับอิตาลีเช่นกัน

Croatia Photo Gallery
แต่การเดินทางจากเมืองไทยมันไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก เพราะไม่มีสายการบินใดบินตรงกรุงเทพฯ-ซาเกรป (Zagreb) เมืองหลวงของโครเอเชีย วิธีง่ายที่สุดคือบินไปลงอิตาลีหรือออสเตรียแล้วจึงเข้าโครเอเชีย แต่ที่นิยมกันมากคือการบินกรุงเทพฯ-เวียนนา (Vienna, Austria) แล้วต่อรถ หรือรถไฟ หรือเครื่องบินเข้าโครเอเชีย (ค่าเดินทางถูกกว่ามาจากอิตาลี) รายการท่องเที่ยวที่บริษัทฯนำเที่ยวนิยมจัดจึงเป็น ออสเตรีย – สโลเวเนีย – โครเอเชีย ซึ่งมีพรมแดนต่อเนื่องกัน เดินทางท่องเที่ยวได้ง่ายทั้งทางรถหรือรถไฟแสนสะดวกสบาย แต่พวกเราเป็นประเภทชอบเที่ยวแบบเจาะลึก มีเวลาแค่ 1 อาทิตย์ จึงเลือกบินต่อจากเวียนนาเข้าซาเกรปทันที แล้วเช่ารถตระเวนไล่เที่ยวจาก Zagreb ไปแถบ Istria และเลาะเลียบทะเลเอเดรียติคลงใต้ไป Split, Trogir, Dubrovnik โดยแวะเที่ยว Plitvice National park ด้วย   แผนการเดินทางของพวกเราแบบง่ายๆน่ารักๆตามนี้



ใช้บริการ Austrian Airline บินต่อเนื่อง Bangkok - Vienna - Zagreb มาถึงกรุงซาเกรปตอนสายๆวันอาทิตย์ เข้าที่พัก Palace Holtel ที่จองไว้แล้ว

บ่ายๆก็ออกเดิน Zagreb City Tour จากย่าน Lower town ไปย่าน Upper town สถานที่น่าสนใจ เช่น Main square ลานอนุสาวรีย์ Ban Josip Jelacic, Stone gate, St. Mark church ที่มีหลังคาโบสต์มุงเซรามิคสีสดใส, St. Catherine church เป็นต้น เดิน 2 ชม.ก็ทั่วแล้ว

ระหว่างทางแวะหาอาหารทานแถบย่าน Radiceva ส่วนมากเป็นอาหารอิตาเลี่ยน Pizza, Spagetty เดินเล่นรอบๆ แล้วเดินกลับลงมาด้านล่าง ผ่านซุปเปอร์มาเก็ตหาซื้อเสบียงเล็กน้อยแล้วกลับที่พัก

Sep 20, 2012

เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนจบ)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh - India


click for Ladakh photo gallery

อ่านตอนแรก >> เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)


3. ไต่ฟ้าคว้าหิมะที่แปงกองเลค



วันนี้เดินทางไกล ข้ามเขาหลายลูกเพื่อไปชม ทะเลสาบแปงกอง (Pangong Lake) รายการวันนี้มีเรื่องพิเศษนิดหน่อยที่ควรเล่าให้เป็นกรณีตัวอย่าง คือ คนที่ถือพาสปอร์ตข้าราชการสามารถเข้าอินเดียโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ แต่การเดินทางไปที่บริเวณทะเลสาปแปงกองนี้ ต้องทำเรื่องขอนุญาตทางการเพิ่มต่างหาก โดยเขาจะตรวจดู tourist visa ถ้าไม่มีไม่สามารถเข้าพื้นที่นั้นได้ สอบถามได้ความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะบริเวณนั้นใกล้ชายแดนปากีสถาน – จีน – และเนปาล การตรวจตราเข้มงวดมาก นักท่องเที่ยวซึ่งมี tourist visa เท่านั้นที่ผ่านเข้าได้ ถ้าข้าราชการที่ไม่มีวีซ่าต้องทำเรื่องขออนุญาตเข้าพท.เป็นการล่วงหน้า ซึ่งใช้เวลานาน ขอวีซ่าท่องเที่ยวมาง่ายกว่า เหตุการณ์นี้มาเกิดกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งในกรุ๊ป พยายามต่อรองกับทางการอินเดียกันจนหมดปัญญา คุณหนึ่งจึงแก้ไขโดยการจัดรถแยก 1 คันพร้อมไกด์ให้พี่เขาไปทะเลสาปอื่นที่คล้ายคลึงกัน สรุปว่าให้พี่เขาไปทะเลสาปชื่อ Tsokar ต้องนั่งรถข้ามเขาผ่านจุดสูงๆคล้ายกับเส้นทางที่เราจะไปทะเลสาปแปงกองแหละ เพราะทางที่เราจะไปวันนี้จะผ่านจุดที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยด้วยคือ Changla pass ซึ่งสูง 5,360 ม.จากระดับน้ำทะเล

เริ่มออกเดินทางกันเช้าหน่อยวันนี้ ขบวนของเราใช้ทางเส้นเดิมกับเมื่อวาน วิ่งไปจนถึงทางแยกเมืองคารู แต่คราวนี้เราแยกออกไปถนนเส้นซ้ายมือแทน จากจุดนี้ไปจะมีด่านเป็นระยะๆ ต้องเอาพาสปอร์ตไปให้จนท.ตรวจ จากแยกเมืองคารูไปเป็นเขตพท.ทหารซะเป็นส่วนใหญ่ มีรถทหารวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ ให้บรรยากาศตื่นเต้นสลับตื่นตา (กับทิวทัศน์) ภูมิประเทศมีหลายรูปแบบเหลือเกิน จากถนนแคบๆวิ่งผ่ากลางพื้นที่ราบแห้งแล้งไประยะหนึ่ง ก็ผ่านมาเจอหุบเขา จากนี้เราจะต้องไต่เขากันแล้ว ถนนเลนครึ่งชวนเสียวเวลามีรถสวน มองด้านซ้ายมือจะเป็นหุบเขาตัดลงไป มองเห็นนาขั้นบันไดเขียวๆสวยดี ไต่ความสูงไปเรื่อยๆ โค้งซ้ายโค้งขวา พี่คนขับก็ใช้วิธีการขับแบบลาดัคห์แท้คือบีบแตรและไม่ต้องเบรค แม้จะเจอรถใหญ่สวนลงมาพี่แกก็หลบชิดลงข้างทางไปเลยไม่มีแตะเบรคให้ความเร็วลด ซึ่งข้างทางก็ไม่มีรั้วกั้นอะไรเลยมองเห็นหุบเหวได้ชัดเจน ใครหลับลงได้ก็ใจแข็งเกิน

เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh - India



click for Ladakh photo gallery

เพิ่งไปธิเบตมาเมื่อช่วงสงกรานต์ ~ไม่ประทับใจเท่าไหร่ พอเดือนมิถุนายนมี email จาก gotogether เจ้าเก่าส่งมาเชิญชวนไปเที่ยว “ธิเบตน้อย เลห์-ลาดัคห์ leh–Ladakh” พิจารณาแล้วราคาดูดี คุณแฟนท่านเลยอยากไป ประกอบกับน้องอ้อเซลล์เสียงหวานโทรตามหลัง email มาเชิญชวนซ้ำเข้าไปอีก คิดไปคิดมา เออ...ไปก็ได้วะ

โปรโมชั่นคราวนี้จัดกับ Kingfisher สายการบินใหญ่ของอินเดีย (จากที่อ่านจากเวปต่างๆว่าใหญ่น่ะ) ใช้เวลาเที่ยวรวมเดินทางประมาณ 7 วัน อากาศช่วงนี้กำลังดี ถือเป็นช่วงเริ่มไฮซีซั่นของแถบนั้น

มาทำความรู้็จักกันสักนิดก่อน เลห์ (Leh) คือเมืองหลักหรือเมืองหลวงของแคว้นลาดัคห์ (Ladakh Region) โดยที่แคว้นลาดัคห์คือ 1 ใน 3 แคว้นของ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ (Jampu-Kashmir State) อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียใกล้เขตชายแดนปากีสถานและธิเบต งงมั๊ย...เอาง่ายๆคือ อินเดียมี 28 รัฐ หนึ่งในนั้นคือ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ ซึ่งรัฐจัมปู-แคชเมียร์นี้แบ่งเป็น 3 แคว้นคือ แคว้นจัมปู, แคว้นแคชเมียร์ และแคว้นลาดัคห์ สรุปอีกทีว่า เลห์เป็นซับเซ็ตของลาดัคห์ ลาดัคห์เป็นซับเซ็ตของจัมปู-แคชเมียร์ และจัมปู-แคชเมียร์เป็นซับเซ็ตของอินเดีย....เฮ้อ....

1. อินเดีย อะเกน



วันแรกของการเดินทางเป็นช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน เป็นวันเกิดคุณแม่พอดี หลังจากไปทำบุญวันเกิด แล้วก็ทานอาหารกลางวันกัน ก็อาบน้ำเผ่นไปสนามบินสุวรรณภูมิ มีเจ้าหน้าที่มารอรับอยู่แล้ว มีไกด์เดินทางไปด้วย 1 คน พบหน้าตาค่าตาก็อุ่นใจ เพราะคือคุณหนึ่งเจ้าเก่าคราวไปเที่ยวราชาสถานปีก่อน กลับมาเจอกันอีกครั้ง Kingfisher IT026 ออกเดินทางเวลาประมาณ 20.30 น. ฟุตบอลโลกคู่ฮอลแลนด์-ญี่ปุ่นกำลังเตะกันอย่างเมามัน ดูไม่ทันจบก็ต้องขึ้นเครื่องเสียแล้ว ขอบอกว่าไม่ประทับใจ Kingfisher เท่าไหร่เลย มีดีที่เป็นจุดเด่นที่พูดกันจังคือมีจอทุกที่นั่ง แต่ว่าเครื่องก็เก่า เล็ก แคบ นั่งไม่สบายเอาซะเลย หลับก็ปวดหลังตื่นก็ปวดหัว....เอ...หรือจะเป็นที่อายุ...

อาหารแขกบนเครื่องไม่ถูกปาก แถมบ.ทัวร์คงไม่แจ้งเอา non-veg ให้ มันจึงมาเป็นมังสวิรัติทุกมื้อที่บิน (ถ้าจะไปเครื่องแขก ก็แจ้งสายการบินด้วยว่าไม่เอามังสวิรัติ ถ้าไม่ชอบ) นอนหลับๆตื่นๆไปสัก 4 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินนิวเดลลีในเวลากลางดึก ปรับนาฬิกาถอยหลังจากบ้านเราไป 2 ชั่วโมงก็เป็นเวลาอินเดียแล้ว ลงมารอรับกระเป๋าแล้วรวมสมัครพรรคพวกออกมารอรถบัสที่จะมารับพาไปนอนแว๊บที่โรงแรมในเมือง (แว๊บเดียวเพราะเช้ามืดก็ต้องออกมาสนามบินเพื่อต่อเครื่องไปลาดัคห์แล้ว ถ้ามาเองเราคงนอนที่สนามบิน ฮา..) อากาศนิวเดลลีเวลาเที่ยงคืนร้อนได้ใจจริงๆ เหมือนหนีร้อน (เมืองไทย) มาพึ่งร้อน (อินเดีย) ทราบจากคุณหนึ่งว่าอุณหภูมิประมาณ 39 องศา โอ้ว...แม่เจ้า

Sep 19, 2012

เที่ยว Dalat กับ Darling

Trip May 2010 : Vietnam (Dalat - Hochiminh)




Dalat photo gallery @pbase >> http://www.pbase.com/ton_manuswee/dalat

ดาลัดนี่เป็นโปรแกรมแทรก กบกับต๋อยชวนไว้เมื่อนานแล้ว เพื่อนจัดการจองตั๋วโปรฯของหางแดงไว้ให้นานจนเกือบลืม ช่วงนี้อากาศเมืองไทยก็ร้อนๆ ฝนลงเป็นระยะๆ ไปเที่ยวดาลัดก็คงดี เท่าที่เคยอ่านดาลัดเป็นเมืองตากอากาศของเวียดนามทางใต้ก็ว่าได้ เพราะอยู่ในพื้นที่สูงอากาศเย็นสบายตลอดปี แถมมีบ้านสวยๆสไตล์ยุโรปด้วย น่าสนใจแฮะ

28 พฤษภา วันนี้วันศุกร์วันหยุดวิสาขบูชา แต่ตั๋วโปรฯมันได้ช่วงเย็น ตั๋วถูกก็อย่างนี้แหละจะให้ได้เวลาดีๆคงยาก เป็นการขึ้นหางแดงครั้งที่ 2 หรือ 3 นี่แหละ (ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สนับสนุนสายการบินนี้ จะขึ้นก็ต่อเมื่อตามใจเพื่อน ว่าง่ายๆคือไปกับเขาเรื่องมากไม่ได้) ยังนึกว่าไม่ระบุที่นั่ง แต่เดี๋ยวนี้เขาระบุที่นั่งแล้วเพิ่งรู้ สิ่งที่ขัดใจอีกอย่างคือต้องเสียเงินค่าโหลดกระเป๋า จำได้ว่าเมื่อก่อนไม่ถึงร้อยบาท ครั้งนี้ให้ต๋อยทำเรื่องให้ต๋อยบอกว่ามันเที่ยวละ 200 บาทแล้ว!! โอ้ว...แม่เจ้า ไปกลับรวมแล้วเสียค่าโหลดกระเป๋า 400 บาท โหลดได้ 15 กิโล กระเป๋าขึ้นเครื่องได้แค่ 7 กิโล เขามีสุ่มขอชั่งกระเป๋าหรือเป้ด้วย ใครแบกอุปกรณ์กล้องหนักๆก็ระวังด้วย ได้ตั๋วถูกแต่หงุดหงิดใจเป็นบ้า

FD3724 ไม่ดีเลย์ออกจากกรุงเทพฯเวลา 15.50 น. นั่งสัปหงกไปไม่นานก็ถึงโฮจิมินห์แล้วเวลาไม่เปลี่ยนจากไทย เครื่องลงเวลา17.25 น. จัดแจงแลกเงินเวียดนามดองไว้ใช้จ่าย ตอนนี้ดอลล่าห์ตกเยอะมากเหลือประมาณ 32 บาทกว่าๆ แลกเงินที่เคาเตอร์แบงค์ในสนามบินได้เลย อย่าแลกที่เคาเตอร์ท่องเที่ยวเพราะจะเสียค่ากินเปล่านิดหน่อย (คิดเป็นเปอเซนต์) คืนนี้เราจะนั่งรถไปดาลัดกันเลยไม่ต้องนอนที่โฮจิมินห์ให้เสียเวลาเสียค่าโรงแรม ต๋อยมีน้องที่ทำงานที่นั่นจึงให้เขาจองรถให้ไว้ล่วงหน้า รถไปดาลัดมีออกเยอะแทบทุกๆชั่วโมง พวกเราจองไว้เที่ยวประมาณห้าทุ่มเพื่อกะเวลาให้ไปถึงดาลัดเช้าพอดี

แลกเงินเรียบร้อยก็เรียกแท็กซี่เข้าเมือง เหมือนที่เคยเล่าตอนทริปปีที่แล้วว่าให้เลือก Taxi บริษัท VinaSun หรือ Mailinh นอกนั้นอย่าไปเสี่ยง เราเรียก VinaSun ไปฟามงูหลาว-ย่านข้าวสารของไซง่อน เย็นๆอย่างนี้รถติดพอสมควรแต่ก็ขยับไปเรื่อยๆเสียงบีบแตรดังระงมตลอดทาง ทำให้มั่นใจได้ว่านั่งเครื่องมาลงถูกประเทศแน่นอน จ่ายค่าแท็กซี่ไปแสนกว่าดอง ก็หอบของลงไปจัดการเอาตั๋วรถก่อน เราเลือกใช้รถบริษัท Phuong Trang อ่านว่าเฟืองเจียง บ.รถอยู่ปากซอย De Tham เลย ไปจ่ายเงินคนละ 120,000 ดองรับตั๋วคนละใบ เห็นในตารางจองเต็มหมดเลย ถ้าไม่จองอาจได้เที่ยวดึกมาก จัดแจงฝากกระเป๋าแล้วก็ไปเดินเล่นดีกว่าพร้อมกับหาที่พักวันกลับเข้ามาด้วย เดินวนไปวนมาแถบนั้นหาโรงแรม หาข้าวกิน เจอร้านขายข้าวแกงเล็กๆแต่ลุงย่างหมูย่างหน้าร้านชิ้นเบ้อเริ่ม หอมฉุย คนยืนออกันเต็มเราก็เลยไปออด้วย ได้ที่นั่งก็ซัดกันไม่ยั้ง สั่งทุกอย่างทั้งไข่พะโล้ หมูกรอบ หมูย่าง ผัดผัก แกงจืด ชี้ๆเอา คิดเงินมาแล้วคนละไม่กี่สิบบาทอิ่มไป ยังเหลือเวลาอีกนานเลยนั่งซัดเบียร์ 555 รอเวลากัน เลือกร้านนั่งสบาย Hung Hung อะไรสักอย่างรอเวลา 23.45 รถบัสสีส้มแปร๊ดมาถึงหน้าบริษัทฯก่อนเวลานิดหน่อย คนขึ้นนั่งเกือบเต็ม ช่วงเบาะแคบไปหน่อย แต่รถก็สะอาดดี รถออกตรงเวลา เด็กรถแจกน้ำคนละ 1 ขวด จากนั้นก็สลบกันไป รู้สึกว่ารถขับเร็วทีเดียวถนนบางช่วงก็ไม่ค่อยดีหลับๆตื่นๆไปตลอดทาง


เดินย่องๆท่องธิเบตกับต้น-วัฒน์

Trip Apr. 2012 : Tibet


ร้อนๆๆ สงกรานต์เมืองไทยปีนี้มันร้อนมาก ทั้งอากาศและบรรยากาศ หลบลมร้อนไปเที่ยวหนาวๆสัก 5-6 วันท่าจะดี พี่อิสชวนไปธิเบต private group กับพวกเพื่อนๆพี่เขา ประมาณ 10 คน เอาๆๆ อยากไปธิเบตนานแล้ว ไปคราวนี้ออกแนวไฮโซ โดยบินไปลงเฉินตูปรับสภาพ 1 คืน แล้วก็บินต่อไปลาซา แล้วก็บินกลับมาเฉินตูมาดูหมีแพนด้าก่อนกลับ (อยู่เมืองไทยไม่เคยสนใจเล๊ยยยย...)


Tibet Photo Gallery at Pbase.com > http://www.pbase.com/ton_manuswee/tibet



Day 1 : Bangkok - Chengdu

บินการบินไทยรักคุณเท่าฟ้าไปเฉินตู (Chengdu) เมืองหลวงของมลฑลเสฉวน (Sichuan) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง กินอิ่มนอนหลับแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว ปรับนาฬิกาให้เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาประเทศจีนแล้ว เราไปถึงสนามบินเฉินตู (Chengdu Shuangliu International Airport) ตอนประมาณบ่ายสามโมง ตรวจเอกสารรับกระเป๋าเสร็จก็ออกมาพบกับพี่ไกด์ชาวจีนที่พูดไทยได้ดี แนะนำตัวว่าชื่อ อาเผิง (ซึ่งวันหลังๆเราถึงรู้ว่าต้องเรียกผู้พันเพิงนะ เพราะฮีเป็นทหารนอกราชการ โฮ่...) อาเผิงจะพาไปเที่ยววัดสามก๊ก (อู่โหวฉือ, Wuhou Ci ~ Wuhou Memorial Temple) เป็นที่แรก วัดสามก๊กเนี่ยอยู่กลางเมืองเฉินตูเลย ประวัติความเป็นมาอะไรก็ไม่ค่อยได้ฟัง มีรูปปั้นเกี่ยวกับสามก๊กเยอะแยะไปหมด ทั้งขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย เดินถ่ายรูปตามพี่ๆน้องๆไปเรื่อยๆ คนไทยคนจีนเที่ยวกันเต็มวัด

จบจากวัดสามก๊ก ก็ประเดิมอาหารจีนกันที่ภัตตาคาร ผักเพียบ ผัดมามันเยิ้มทีเดียวเชียว ปลาจีนก้างแฉกนึ่งซีอิ๊ว ซาละเปาก็พอใช้ได้ คืนนี้เรามีรายการไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากาก โชว์ขึ้นชื่อของเมืองเฉินตู อันนี้อยากดูมาก โชว์เริ่มสองทุ่มกว่า ยังมีเวลาเหลือเฟือ เลยไปเดินเล่น แถบชุนซีลู่ ซิงเหนียงลู่ เป็นย่านช็อปปิ้งร้านแบรนด์เนมต่างๆ ก็ไม่ใช่แบรนด์หรูอะไรหรอก ส่วนมากเป็นแบรนด์ในประเทศเขานั่นแหละ แต่เป็นลานน่าเดินเล่นทีเดียว ทั้งวัยรุ่นทั้งนักท่องเที่ยวเดินกันเยอะ แยกย้ายกันเดินเล่นจนถึงเวลาไปดูโชว์ เพราะที่แสดงก็อยู่ไม่ไกลจากย่านนั้น ก็เดินไปเจอกันตามเวลานัด

อาเผิงซื้อบัตรโคตรถูกแน่นอน เพราะเรานั่งหลังเกือบสุดเลย ดีที่โรงมันไม่ใหญ่มาก นักท่องเที่ยวทยอยๆกันเข้ามา ฝรั่งตรงเวลาเหมือนเคยเข้ามาก่อนการแสดงหมด และคนจีนก็ไม่มีระเบียบวินัยเหมือนเคย โชว์แริ่มแล้วมันยังเข้าๆออกๆกันอยู่เลย น่ารำคาญอย่างยิ่ง การแสดงจัดแสงสีได้ดีทีเดียว แต่มีหลายชุดกว่าถึงชุดไฮไลต์ โชว์เปลี่ยนหน้ากากมัน Amazing จริงๆแหละ เปลี่ยนได้ปุ๊บปั๊บฉับไว มองไม่ทัน ชอบมากๆ แนะนำให้ไปดู...คืนนี้นอนโรงแรม 4 ดาว สบายซะ แต่พรุ่งนี้เช้าต้องออกแต่เช้ามืดตีห้ากว่าเพื่อไปขึ้นเครื่องไปธิเบต........

Sep 18, 2012

ทุบกระปุกบุกโคเรีย ภาคจบ

Trip Dec. 2009 : Korea

ทุบกระปุกบุกโคเรียภาคจบ


Click for Korea in Winter 2009 Photo Gallery at pbase.com

*** นามิซอม เกาะแห่งรัก *** 



วันนี้กลับเข้าสู่โปรแกรมท่องเที่ยวของพวกเรา วันนี้ไปเกาะนามิ เกาะนี้ดังเมื่อหลายปีมาแล้ว เพราะเป็นสถานที่ถ่ายทำละครดัง winter love song ไม่รู้ว่าดังขนาดไหน เพราะเราไม่ได้ดู ไม่ชอบหนังรักโรแมนติกขนาดนั้น แต่ก็คงดังมากเพราะทำเป็นจุดขายของเกาะได้เลย ทัวร์ส่วนมากก็แวะมาเที่ยวกัน เกาะอยู่ห่างจากโซลไม่มากนั่งรถแค่ 1 งีบก็ถึงแล้ว แล้วต้องนั่งเรือข้ามไปเกาะอีกแป๊ปนึง ไปถึงเจอนักท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งไทยทั้งจีน จริงๆแล้วควรมาเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง มันคงจะสวยเห็นในรูปที่แกลเลอรี่บนเกาะ ไม่อย่างนั้นก็มาฤดูหนาวแบบหิมะคลุมเต็มไปเลย แต่ที่เรามาหิมะมันเพิ่งลงไม่มาก ก็เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ก็ดีที่คนไม่เยอะมากเท่าช่วงไฮซีซั่น บนเกาะสามารถเดินเที่ยวเล่นถ่ายภาพได้รอบเกาะเลย แต่จุดไฮไลต์ก็มีไม่กี่จุดหรอก เช่น แนวต้นสน มีหลายแนวเหมือนกัน รูปปั้นหรือพวกฉากจากหนัง มีบ้านโบราณ มีสวน มีสระน้ำ ถ้ามาช่วงอากาศดีๆมีเวลาเยอะ บางคนเช่าจักรยานปั่นรอบเกาะก็น่าสนุกดี

พวกเราก็เดินตามแนวต้นสนไปเรื่อยๆ ธรรมชาติสวยดีเหมือนกัน มีกระรอกวิ่งขึ้นวิ่งลงตามต้นสน มีนกกระจอกเทศที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เดินไปเดินมา เดินไปจนสุดเกาะด้านหนึ่ง ถ่ายรูปกันไปเรื่อยเปื่อยก็เดินกลับ ช่วงนี้ค่อนข้างหนาว มีหิมะตามพื้นแต่ไม่หนามาก ได้อารมณ์เย็นยะเยือกดีทีเดียว กลับออกมาก็ใกล้เที่ยง พี่ติ๊นาพาไปแวะทาน ทัคคัลบี้ ไก่ผัดซ๊อส เราว่าอร่อยดี ไก่หมักนำมาผัดกับซ็อสเค็มๆหวานๆ ใส่ผักเยอะๆ เกาหลีนี่นิยมให้คนกินมี Activity เลยให้มาผัดกันเองที่โต๊ะมีกระทะร้อนใหญ่ๆแบบทอดหอยทอดผัดกันไปควันขโมง อร่อยดีกินไก่ไปสักครึ่งกะทะเขาก็จะเอาข้าวลงมาผัดคลุกกับไก่ไปด้วย เอาไว้กินแกล้มไก่ อร่อยมากๆ ข้าวคำ ซุปคำ กิมจิคำ แซ่บสุดๆ

อิ่มแล้วก็นั่งรถกลับโซลกัน แผนวันนี้จะกลับไปแวะพระราชวังเคียงบ๊อก (Gyeongbokgung) แต่พวกเราไปถึงมันเป็นเวลาประมาณสี่โมงครึ่งเย็น เขาไม่ให้เข้าแล้ว พี่ติ๊นาแกยอมรับว่าแกลืม เพราะถ้าหน้าร้อนเขาเปิดให้เข้าได้ถึงห้าโมง ตอนนี้มันเข้าหน้าหนาวแล้ว ลืมไป...โฮ่

เลยเปลี่ยนแผนไป โซลทาวเวอร์กันแทน โซลทาวเวอร์ อยู่ที่เขานัมซาน กลางกรุงโซลเลย เหมือนประมาณเขารังกลางภูเก็ต ต้องจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเนินไปนิดหน่อย มีผู้คนเดินเล่นกันเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเกาหลี อากาศดีพอควรแต่ฟ้าไม่ค่อยเปิด พวกเราเดินมาจนถึงล็อบบี้ของโซลทาวเวอร์ พี่ติ๊นาไปซื้อตั๋วขึ้นลิฟต์ไปยอดทาวเวอร์ (ข้อเสียของการมากับทัวร์คือไม่รู้ข้อมูลไรเลย ไม่รู้ตั๋วราคาเท่าไหร่) ลิฟต์เร็วมากจากชั้นล่างสุดขึ้นไปชั้นบนสุด (สูง 240 ม.) ใช้เวลาแป๊ปเดียว ด้านบนเหมือนหอคอยชมเมืองทั่วไปคือเป็นกระจกรอบด้าน 360 องศา มองเห็นโซลได้รอบด้าน ขึ้นมาช่วงเย็นๆอย่างนี้ก็ได้บรรยากาศดี คือเห็นตั้งแต่สว่างจนค่อยๆมืด ก็จะเห็นแสงไฟในเมืองสว่างไสวเต็มไปหมด

ทุบกระปุกบุกโคเรีย ภาคแรก

Trip Dec. 2009 : Korea


ครั้งนี้ขอเรียกว่าเป็นบันทึกท่องเที่ยวแล้วกัน เพราะอาจไม่มีข้อมูลให้ไปใช้ท่องเที่ยวตามเท่าไหร่ เพราะคราวนี้ให้เอเยนต์ท่องเที่ยวจัดให้ เราแค่จดรายการสถานที่ที่อยากไปให้เขา เขาก็จัดมาให้เลย เลยขาดข้อมูลการติดต่อและราคาไปเยอะ จึงกลายเป็นบันทึกท่องเที่ยวเกาหลี “ทุบกระปุกบุกโคเรียกับสาวๆ LYH”


Click for Korea in Winter 2009 Photo Gallery at pbase.com

จากการวนเวียนดูหนังเกาหลีมาก็หลายเรื่อง ในที่สุดก็ได้ไปเกาหลีจนได้ รวบรวมสมัครพรรคพวกได้ 9 ชีวิต จึงติดต่อทัวร์ให้จัดกันแบบส่วนตัวไปเลย เพราะเราเที่ยวไม่เหมือนคนปกติ เพราะ 9 คนเป็นสาวๆกันหมด สาวมากสาวน้อยคละๆกันไป แต่ละคนมีภาระกิจส่วนตัวในการตามล่าหาขวัญใจหนุ่มเกาหลีไปต่างๆกัน ไหนจะช๊อปปิ้งไม่เหมือนใครอีก ไปส่วนตัวแหละดีแล้ว ต้นเดือนธันวาคม 2552 ได้ฤกษ์เบิกชัย แต่การเดินทางที่คิดว่าจะสบายกลับเพี้ยนๆเพราะเจอเอเยนต์ไม่ได้ดั่งใจ ก่อนบินไม่กี่วันดันมาบอกว่าต้องบินไปลงปูซานแทนโซล แต่ขากลับกลับจากโซลได้ เออเว้ย.....จะกลับลำยังไงได้ล่ะ เลยถือซะว่าได้มีโอกาสไปเห็นเมืองปูซาน เมืองท่าสำคัญของเกาหลีใต้ก็แล้วกัน แถมเป็นบ้านเกิด กงยู ดาราเกาหลีขวัญใจพวกสาวๆ 9 ชีวิตด้วย

*** เหินฟ้าไปปูซานบ้านเกิดกงยู *** 



คิดในแง่ดีก็ต้องว่าโชคดีที่มีตั๋วไปเที่ยวได้ในช่วง long weekend อย่างนี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เสียงคนไทยคึกคักกรี๊ดกร๊าดไปทั่ว ต่างคนสนองนโยบายไทยเที่ยวไทย โดยการบินไปเมืองนอกกันเพียบ (ออกแนวสำนึกรักบ้านเกิดขึ้นมาซะงั้น) เนื่องจากความผิดพลาดนิดหน่อยทำให้เราเดินทางกันดึกไปนิด Korean airline flight KE652 บินตรงกรุงเทพฯ – ปูซานในเวลาห้าชั่วโมงกว่าๆ ออกเดินทางก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลับๆตื่นๆกันไป ก็ถึงปูซานตอนเช้าๆแดดกำลังเริ่มส่องพอดี แรกเห็นเกาหลีใต้จากหน้าต่างเครื่องบินมันเป็นทะเลสีฟ้าสวย แม้อากาศจะขมุกขมัวนิดหน่อย แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว สนามบินปูซานใหญ่โตโอ่โถงดีทีเดียว 9 ชีวิตเดินตามกันมาแบบหวาดๆจากคำขู่ของใครหลายๆคนว่าตม.ผ่านยาก เคยมีคนไม่ได้เข้าด้วย เมืองไทยมาเกาหลีไม่ต้องขอวีซ่าแต่ดันมาพิจารณาเอาที่สนามบินนี่ สู้ให้ขอวีซ่ายังดีซะกว่า ไม่ให้เข้าจะได้ไม่ต้องเสียค่าตั๋ว นี่ให้มาเสี่ยงดวงเอา มันนโยบายอะไรกันก็ไม่รู้แฮะ

ในพวกเรา 9 ชีวิต เราเองดูจะปลอดภัยที่สุดเพราะเดินทางมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ตม.ไม่น่ามีปัญหา เจ๊หมูเป็นคนที่พวกเราห่วงเป็นที่สุดเพราะพาสปอร์ตเธอขาวโพลนเหมาะแก่การสงสัยว่าจะมาหาสามีเกาะกินอยู่ที่เกาหลี แต่ไปๆมาๆ เจ๊หมูก็ผ่านโลด แต่เราโดนเรียกเข้าห้อง!! โดยเหตุผลว่ากลับไม่พร้อมเพื่อน (ให้เอเยนต์ทำโปรแกรมทัวร์ไว้แค่ 5 วัน 6 คนกลับก่อน เรากับเพื่อนอีก 2 คนจะอยู่ตะลุยโซลต่อกันเองอีก 2 วัน) บ๊ะ...แต่เพื่อนที่กลับพร้อมเรากลับไม่โดนเรียก มาเรียกเราคนเดียว เป็นที่ฮือฮาไปทั่ว กลุ่มทัวร์ไทยอื่นๆก็ฮือฮาๆ พากันหวั่นไหวไปด้วย เมื่อเห็นเราโดนชี้เข้าห้อง แต่จริงๆแล้ว ตม.ผู้หญิงคนที่ตรวจเราเธอคงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆของเรา ที่บอกว่าจะอยู่ต่อ จะเที่ยวโซล เธอได้แต่ถามว่า ทำไมไม่กลับพร้อมเพื่อนๆๆ ถามอยู่นั่นแหละ พอเข้าในห้องอธิบายให้ตม.ผู้ชายฟัง พร้อมชี้ให้ดูสาวๆ 8 ชีวิต ที่ยืนรอชะเง้อชะแง้กันด้านนอก ตม.หนุ่มไม่เห็นสงสัยอะไร ทำหน้าเอือมๆแล้วประทับพาสปอร์ตให้ พร้อมโบกมือไล่ ไปๆๆๆ สรุปได้ว่า ไม่มีเหตุและผลใดๆทั้งสิ้น แล้วแต่อารมณ์ตม. และผู้หญิงเกาหลีพูดไม่รู้เรื่อง (มีเรื่องอื่นๆจากเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกวันต่อมา)

Sep 16, 2012

Plain of Jars อภิมหาไหแห่งเชียงขวาง

Trip Nov. 2009 [Northen Lao : Ponsawan -Vangvieng]



เคยเห็นรูปทุ่งที่เต็มไปด้วยไหใบใหญ่ยักษ์มานานแล้ว สืบค้นหาข้อมูลได้มาว่าเขาเรียกกันว่า ทุ่งไหหิน อยู่แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ใกล้ๆบ้านเรานี่เอง กางแผนที่มาดูอีแคว้นเชียงขวางนี่มันอยูแถบเหนือของลาว หาวิธีการไปได้ 2 ทาง คือรถและเรือบิน บ๊ะ....ท่าจะเมืองใหญ่ มีสนามบินด้วย หะแรกจะไปกันสองคนตายาย แต่เพื่อนสาว 2 คน พอทราบว่าเราจะไปตะลุยดูไหกัน เลยขอไปด้วย ดีเลยไปกัน 4 คนกำลังเหมาะ



O ขี่เรือบินไปตั้งต้นที่เวียงจันทน์ O

การวางแผนของเราจำกัดอยู่ที่เวลา 4 วัน ดังนั้นจึงยอมทุ่มทุนขี่เรือบินไปดีกว่า นั่งรถเมล์ไม่กี่ป้ายจากทีทำงานต้นถนนสีลมไปสำนักงานการบินลาวที่สีลมพลาซ่า ติดต่อจองตั๋วไปกลับ กรุงเทพ-เวียงจันทน์ รวมทั้งบินในประเทศจากเวียงจันทน์ไปเชียงขวางด้วย ขากลับเราจะนั่งรถจากเชียงขวางไปวังเวียง แล้วจากวังเวียงไปเวียงจันทน์ คิดคำนวณค่าเรือบิน 3 ขา ตกคนละประมาณ 1 หมื่น แพงเหมือนกันแต่ประหยัดเวลาดี มันแพงที่บินในประเทศแหละ

ศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2552 ทั้ง 4 ชีวิตก็ขี่เรือบินจากสุวรรณภูมิไปลงสนามบินวัดไต เมืองเวียงจันทน์ เครื่องการบินลาวขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเต็มลำด้วยคนไทย คนเวียดนาม คนลาว และคนลาวที่มาจากอเมริกา (พวกนี้ได้ยินว่ามาจากอริโซน่า คงไปทำงาน แล้วได้พักยาวบินกลับมาเยี่ยมบ้าน มากันเป็นหมู่คณะเลย) นั่งหลับๆตื่นๆไปเกือบ 2 ชั่วโมง สิบเอ็ดโมงกว่าก็มาถึงสนามบินวัดไต แห่งมหานครเวียงจันทน์ ต้องออกจากสนามบินระหว่างประเทศ ขนกระเป๋าข้ามไปอาคารในประเทศเอง เขาไม่เช็คต่อให้ มีเวลาเหลือประมาณชั่วโมงกว่า ไปเช็คอินเครื่องภายในประเทศแล้วเดินกลับมานั่งซดกาแฟลาวที่ร้านกาแฟในสนามบินระหว่างประเทศ เพราะมีแอร์เย็นสบาย สนามบินปรับปรุงใหม่โอ่โถงหรูหรากว่าที่เคยมาเมื่อ 2-3 ปีก่อนเยอะเลย แต่สนามบินภายในประเทศยังเหมือนเดิมเปี๊ยบ คือเหมือนอาคาร บขส.ต่างจังหวัดบ้านเรา ทั้งภายนอกและภายใน เราเคยเห็นแล้วเลยไม่ตื่นเต้น เพื่อนอีกคนไม่เคยเห็นถึงกับอึ้งไปเลย เราบอกว่านี่ก็ปรับปรุงแล้วนะ เพราะที่ชั่งน้ำหนักกระเป๋าเป็นดิจิตอลแล้วนา คราวก่อนยังเป็นตาชั่งอยู่เลยนะ...

Eight Days in Nepal

Trip May 2009 : Nepal



My Nepal Photo Gallery at Pbase.com > http://www.pbase.com/ton_manuswee/nepal

ใช้เวลา 8 วันในการตะลุยเนปาล กับผู้ร่วมทางรวม 6 คน และไกด์หนุ่มชาวเนปาลอีก 1 เหนื่อยแต่สนุก.....


         ไม่คาดคิดว่าจะได้ไปเนปาลในตอนนี้ เนปาลไม่ได้อยู่ในรายการท่องเที่ยวปีนี้ด้วยซ้ำ
คงเป็นพรหมลิขิตซะมั๊ง ที่อยู่ๆก็ตัดสินใจ ........ไป...ไปเนปาลกัน.....

          โชคดีที่ painaima.com เปลี่ยนให้เราใช้บริการการบินไทยแทนรอยัลเนปาลแอร์ไลน์ เครื่องจึงใหญ่นั่งสบาย อาหารอร่อย  landing ก็นุ่มนวล แค่ 3 ชั่วโมงกว่าก็ถึงสนามบินตรีภูวัน เมืองกาฏมาณฑุประเทศเนปาลแล้ว ไปถึงตรงเวลาคือประมาณเที่ยงแก่ๆ ปรับนาฬิกาย้อนหลังไปประมาณ 1.15 ชั่วโมงก็เป็นเวลาเนปาลแล้ว จัดแจงผ่านขั้นตอนตม.ออกมา เจอเด็กหนุ่มหน้าตาไม่ยักเนปาลเท่าที่คาด ยืนถือป้ายรอรับ แนะนำตัวกันได้ความว่าชื่อ “อารบิน” เป็นชาวเนปาลแท้ แต่เคยไปบวชเรียนที่เมืองไทยอยู่ 6 ปี พูดไทยปร๋อแถมพูดใต้ได้อีกต่างหาก ฮ่าๆ มันส์แน่ๆ

          อารบินพาพวกเราไป check in โรงแรม nirvana ในย่านทาเมล แถบข้าวสารของกาฏมาณฑุ แล้วก็ออกเที่ยวกันเลย ที่แรกที่จะไปบ่ายนี้คือ วัดพุทธมหายาน วัดโพธินาถ (Boudhanath) นั่งรถผ่าเมืองไปทางตะวันออกไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วแรกเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป ก็มองเห็นเจดีย์สีขาวหม่นทรงโอคว่ำอันใหญ่ ด้านบนมีดวงตาเห็นธรรม โตเหมาะสมกับขนาดของเจดีย์ ธงภาวนาหลากสีขึงระโยงระยางทั่วไปหมด เหมือนภาพที่เคยเห็นตามนิตยสารไม่ผิดเพี้ยน

          เจดีย์โพธินาถได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ใหญ่สุดในเนปาล มีชาวธิเบตและชาวพุทธทั่วไปมาสักการะกันมากมาย แต่ละคนต่างเดินทักษิณาวัตรสวดภาวนาพร้อมหมุนกงล้อธรรมไปรอบฐานเจดีย์ นักท่องเที่ยวอย่างเรา เดินสักการะเสีย 1 รอบ แล้วขึ้นไปสัมผัสแบบใกล้ชิดด้านบนอีก 1 รอบ ก็พอแล้ว ลงมามองหาร้านกาแฟน่านั่งที่อยู่บนอาคารร้านค้าที่มีอยู่รายรอบเจดีย์ นั่งจิบกาแฟหามุมมองถ่ายภาพแปลกๆตา พร้อมมองดูผู้คนด้านล่างที่ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะ ทั้งมานั่งเล่นเดินเล่นมาสวดมนตร์เต็มไปทุกด้าน

          ใช้เวลาไปจนเต็มอิ่มก็กลับมาพบอารบินที่ทางเข้า เย็นนี้เรามีโปรแกรมอาหารเย็นแบบเนปาลีเซ็ต พร้อมชมการแสดง พวกเราไปถึงร้านเป็นกลุ่มแรกบ๋อยชาวเนปาลยังจัดที่ไม่เสร็จเลย ร้านออกสลัวถึงมืด เวลากินอาหารต้องเพ่งกันเล็กน้อย เริ่มต้นที่เหล้าท้องถิ่นของเนปาล ที่ใช้เหยือกยกเทเป็นสายยาวเสียวกระฉอกหก จิบแล้วไม่ไหวขอถอยเพราะแรงเหลือเกิน อาหารเนปาลถูกยกออกมาตักเสิร์ฟในจานทองเหลืองใบใหญ่ของแต่ละคน อารมณ์ประมาณข้าวแกงแต่มีกับหลายอย่าง มีไก่มีหมูมีผักเป็นส่วนใหญ่ สักพักดนตรีก็เริ่มบรรเลง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลง resham firiri ซึ่งต่อไปจะได้ยินแทบทุกวัน....จากนั้นก็มีการแสดง นักเต้นก็วิ่งเต้นไปทั่วร้าน เด็กเสิร์ฟก็เดินเสิร์ฟไป คนเก็บโต๊ะก็เก็บไป เดินกันวุ่นวายทั่วร้านแปลกดี ดูๆไปไฟก็ดับ พรึ่บ!! เฮ....อารบินบอกว่า เดี๋ยวเขาก็ปั่นไฟ ตอนนี้คงเป็นเวลาไฟดับย่านนี้ อืมม...จริง สักพักไฟก็มา....ดูไป 2-3 ชุดก็ไม่ไหวแล้วขอกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า...นมัสเต

3 ล้านด่อง ท่อง 3 เมือง

Trip Apr.2009 : Central Vietnam [Hue-Hoian-Hochiminh]





H1 >> Hue

สงกรานต์บ้านเราปีนี้มันอุบาทจิต วิปริตใจ ถึงไม่อยากไปก็ต้องไปเพราะแลกตั๋วมาแล้ว
เอา mileage ROP ไปแลกตั๋ว BKK-SGN บินกรุงเทพฯไปลงไซง่อน หรือชื่อหรูๆคือโฮจิมินห์
แล้วค่อยต่อไป เว้-ดานัง-ฮอยอัน ใช้เวลาสัก 5-6 วัน คงพอได้เห็นอะไรบ้าง
แลกเงิน US$ ไป เกือบ 170 เหรียญ ได้มา 3 ล้านกว่าดอง กลายเป็นเศรษฐีทันตา
ต่อเครื่องภายในประเทศด้วยสายการบิน Vietnam airline ราคาพันนิดๆ ประหยัดเวลาและแรงกาย
จากโฮจิมินห์ไปเว้ บินไปยังไม่ทันหลับก็ถึงแล้ว วันนี้ชิลๆ เดินเล่นตลาดดองบา
เดินเล่นริมแม่น้ำหอมดูนักท่องเที่ยวเหมาเรือหัวมังกรล่องน้ำหอมกัน
เดินข้ามถนนไปมาให้มอเตอร์ไซต์บีบแตรไล่แก้เซ็ง วันนี้อากาศไม่ค่อยแจ่มเมฆเยอะ.......
ตกเย็นแวะกิน Hue pancake หรือขนมเบื้องญวนสไตล์เว้ที่ร้านลุงใบ้ Lac Thien อร่อยและถูก สมคำร่ำลือ
อิ่มหนำสำราญเดินข้ามสะพานตรังเตรียนยามค่ำแสงสีวูบวาบเพราะแสงไฟเจ็ดสีเจ็ดศอกที่เปิดตอนหนึ่งทุ่ม
กลับไปนอนหลับอุ่นสบายที่ Duytan hotel, Hue

Hue photo album at pbase.com > http://www.pbase.com/ton_manuswee/hue



เช้าต่อมาอากาศแจ่มใส เหมารถของ Mailinh Taxi เที่ยวรอบเว้ 1 วันในราคา 30$
ประเดิมที่แรกด้วยสุสานพระเจ้าตือดึก (Tomb of Tu Duc) แค่ 7 กม.จากเมือง สุสานกว้างมาก สงบร่มรื่นดี
จากนั้นไปต่ออีก 3 กิโล ที่สุสานพระเจ้าไคดิงห์ (Tomb of Khai Dinh) สุสานนี้สวยงามอลังการสุด แต่ไม่กว้างนัก
ต่อไปอีกไม่กี่กิโล จบทัวร์สุสานที่ สุสานพระเจ้ามิงห์หมาง (Tomb of Minh Mang) สุสานนี้ก็สวยดีมีสีสัน แต่ทรุดโทรมมากกว่าที่อื่น กำลังบูรณะอยู่



Impression India.....ทริปขัดตาทัพ

Trip Feb.2009 : India [Golden triangle : Delhi-Agra-Jaipur]


“ไปอินเดียกันมั๊ย”
“เออ..ไปดิ ไหนๆก็มีวีซ่าแล้ว”
ง่ายๆอย่างนี้แหละ สำหรับการเริ่มต้นทริปอินเดียคราวนี้
ทริปอินเดียสั้นๆ 4 วันครั้งนี้ เราเรียกมันในหลายชื่อ เช่น ทริปเฉพาะกิจ ทริปแก้ขัด ทริปแก้คัน ทริปแก้เขิน ทริปทำลายวีซ่า เป็นต้น
ที่มีชื่อทริปแปลกๆก็เพราะเป็นทริปที่เกิดขึ้นมาหลังจากการล้มไม่เป็นท่าของทริปตะลุยราชาสถาน เมื่อคราวสุวรรณภูมิโดนยึด
การเมืองเป็นเรื่องเหนือเหตุและผล และไม่มีคำอธิบาย เลยไม่อยากพูดถึง....
ทุกครั้งที่เปิด passport แล้วเห็นวีซ่าอินเดียอันขาวสะอาดแล้ว พาลให้หงุดหงิดซะเหลือเกิน พอ gotogether travel เจ้าเก่าที่เราใช้บริการในคราวไปอียิปต์มี email มาเชิญชวนไปอินเดียทริปสั้นๆ 4 วัน ช่วงวันหยุด ความคิดเรื่องทำลายวีซ่าก็เลยเกิดขึ้น...


 วันแรกวันมหาเหนื่อย

          ตื่นแต่เช้ามืดแหกขี้ตามาสนามบินตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะเราบินการบินไทยที่รักคุณเท่าฟ้า TG323 บินตรงกรุงเทพฯ สู่เดลี ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. เป็นไฟลต์เช้าที่หลายๆคนชอบเพราะไปถึงแล้วเที่ยวได้เลย แต่เราว่ามันสุดแสนจะเหนื่อย ถ้าไป air India ก็บินสายๆก่อนเที่ยง ไปถึงเย็นก็พักผ่อนชิลๆได้ แล้วค่อยลุยวันรุ่งขึ้น แต่นักเที่ยวเขาคงไม่ชอบเพราะมันเสียเปล่าไป 1 วันนิ...
          สนามบินเดลีมีชื่อเป็นทางการว่า สนามบินนานาชาติ อินธิรา คานธี (Indira Gandhi international airport) ตามชื่อของนักสู้หญิงเหล็กของคนอินเดีย ที่โดนลอบสังหารไปเรียบร้อยแล้ว สนามบินไม่ใหญ่โตเท่าที่คิด เดินๆตามกันไป ตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ยุ่งยาก ช่องก็เยอะ อียิปต์ซะอีกช่องน้อยแถวยาวเป็นกิโล ตรวจ passport แล้วเข้ามา เขาจะขอสแกนกระเป๋าถืออีกทีก่อนเดินไปรับกระเป๋าเดินทางที่สายพาน ทหารถือปืนเดินกันวนเวียนทั่วไปหมด รู้สึกปลอดภัยดี คิดไปอีกที เอ...มันต้องไม่ปลอดภัยฺซิวะถึงต้องมีทหาร.....
          รับกระเป๋าเสร็จ ปล่อยให้ผู้ร่วมชะตากรรม (ที่ยังไม่รู้จัก) ทั้ง 10 คนตามคุณหนึ่งไกด์ของเราไปแลกเงินรูปี เรา 2 คนไม่ต้องแลกหรอก หอบเงินรูปีร่วมหมื่นบาทมาจากเมืองไทย เพราะแลกไว้ใช้ทริปล่มเมื่อ 2 เดือนก่อนไง มาทริปนี้มาแบบทัวร์คงใช้เงินไม่ถึงหมื่นหรอก แต่ก็หอบมาให้หมด เผื่อจะวางมัดจำฮาเร็มสักห้องไว้ให้แฟนมาเที่ยวคราวหน้า.....กดเปิดโทรศัพท์หา operator service เจอ 3-4 อัน เลือกสุ่มๆไว้อัน เพราะที่เช็คมาล่วงหน้า ราคามันเท่าๆกันหมดเลย DTAC ส่ง sms มาทันที ตู๊ดๆๆๆ  wish you have pleasant stay…บลาๆๆๆ… exchange rate THB:INR 1:1.32…..ก็คิดง่ายๆว่า 1 รูปีประมาณ 3 สลึง แต่นังเพื่อนเรามันบอกว่าคิดเท่าๆไปเลย 1 รูปี 1 บาท ง่ายกว่า.....
     
     อารัมภบทมาร่วม 20 บรรทัด ยังไม่ถึงอินเดียซะที เอาล่ะ กายพร้อม ใจพร้อม เงินพร้อม คุณหนึ่งพาชาวเราทั้ง 12 คน ไปเจอ ดร.อาเจ๊ด DR.Ajed (ไม่รู้ ดร.ด้านไหนเหมือนกัน) ฮีสูงเพรียวดำสนิทยิ้มฟันเหลืองมาแต่ไกล แล้วก็พาเราเดินอย่างไกลไปรอขึ้นรถบัสที่นอกสนามบิน ช่วงบ่ายต้นๆที่อินเดียเดือนกุมภา ร้อนชนิดตับกระตุกทีเดียว นึกแล้วอยากหยิกคุณอ้อแห่ง GTT ซะจริง เธอบอกว่าอุณหภูมิมีเลขตัวเดียวค่ะพี่ ไอ้เราเลยขนแขนยาวผ้านุ่มหนามาหมดเลย เอ...แต่เราก็เช็คมาเหมือนกัน มันก็บอกว่า 10-27องศา นะ ทำไมร้อนอย่างนี้หว่า
อาเจ๊ด และ คุณหนึ่ง แห่ง GTT กำลังแนะนำตัว
     รสบัสคันใหญ่มาจอดรับ เราก็ว่าแหม...คนแค่ 12 คน เอารถมาซะใหญ่ น่าจะเล็กๆจะได้คล่องตัว ซอกแซกเข้าไปจอดที่เที่ยวได้ใกล้ แต่พอนั่งไป 2-3 วัน ถึงได้รู้ว่าเออ...ดีแล้ว เพราะนั่งรถทุกวัน วันละหลายชั่วโมง รถใหญ่ๆเบาะนิ่มๆ นั่งได้คนละล็อค มีที่วางของเหลือเฟือนี่แหละดีแล้ว แรกผ่านเข้าตัวเมืองเดลี มองเห็นรั้วกั้นก่อสร้างเยอะแยะ ส่วนมากเป็นรถไฟใต้ดิน MRT ของพี่แขกเขา แต่ ITD อิตาเลี่ยน-ไทยเจ้าเก่ามารับเหมางาน เห็นโลโก้อยู่ตามรั้วชัดเจน อย่าไปสร้างให้เขาร้าวเหมือนรันเวย์บ้านเราแล้วกันครับพี่น้อง....


อินเดียรถติด....ได้ยินมาอย่างนี้ ขอบอกว่าคอนเฟิร์ม!!!! รถมันติดกันวุ่นวายไปหมด ขับกันไม่มีแถวไม่มีแนว บีบแตรกันให้สนั่นลั่นถนน 2ไกด์ไบลิงกัว (bi-lingual) บอกว่าเขาบีบแตรกันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ท้ายรถบรรทุกหรือรถบัสถึงขนาดติดสติคเกอร์กันเลยว่า horn please…..ดูแล้ว...เออ...จริงแฮะ คนอินเดียมันบ้ากันเปล่าเนี่ย บางคนก็ติดว่า blow horn สั่งให้บีบแตรซะงั้น เมืองมันถึงดูหนวกหูวุ่นวายไปหมด
          กว่าจะถึงร้านอาหารก็นานโข อาหารเที่ยงวันนี้เป็นอาหารจีน รดชาดบรรยายยาก เอาวะ.... มื้อแรก เอาให้อิ่มๆ รดชาดอาหารเป็นปัญหารองของคนไทย ปัญหาใหญ่คือห้องน้ำ ร้านมีโต๊ะสัก 20 โต๊ะ มันมีห้องน้ำห้องเดียว!!! รอคิวกันไปเถอะ...อิ่มมื้อแรกก็นั่งรถไปขับวนชมเมือง ผ่านไปแถบ connaught place อาคารอะไรต่อมิอะไรฟังไม่ทัน สวยดีใช้ได้ แต่ถ่ายรูปไม่ได้ ก็อยู่บนรถไง กระโดดไปเบาะซ้าย ที กระโดดไปเบาะขวาที วู๊ย.....ถ่ายไม่ได้เลย เสียดาย......รอบๆบริเวณมีสนามหญ้าปลูกต้นไม้แบบเกาะกลางบ้านเรา คนอินเดียมานั่งกันเพียบ ถ้าเป็นเมืองไทยคงนึกว่าม็อบหน้าสภา แต่คุณหนึ่งบอกว่าเขามานั่งนอนเล่นพักผ่อนหลังอาหารเที่ยงกัน โอ้...แม่เจ้า นอนกันเกลื่อนไปหมด...

Colorful Singapore

Trip Jan. 2009 : Singapore

ไม่ได้มาเที่ยวสิงคโปร์ซะหลายปี ได้มาก็แค่เวลาทำงาน เข้าที่ทำงานกลับโรงแรม ออกจากโรงแรมไปไซต์งาน 2 วันกลับ ไม่ได้เห็นอะไรเลย เคยมาเที่ยวจริงๆจังๆก็สักยี่สิบปีได้แล้ว ความทรงจำลางเลือนมาก เมื่อมีโอกาสได้ติดตามคนรู้ใจไปสิงคโปร์ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะไปรื้อฟื้นความทรงจำสักที เลือกซื้อตั๋ว Singapore airline เพราะบริษัทฯเขาซื้อให้สายการบินนี้ เราก็เลยซื้อสายการบินนี้ด้วย จะได้กลับด้วยกันดีกว่า ซื้อได้ราคาไม่ถูกเพราะซื้อที่เดี่ยว เดี๋ยวนี้ตั๋วโปรโมชั่นมันเป็นแพคคู่จะได้ราคาถูก มีตั้งแต่ห้าพันกว่าจนถึงเจ็ดพัน แต่เราซื้อตั๋วเดี่ยวแถมซื้อใกล้วันบินซะอีกเลยต้องจ่ายไปเก้าพันกว่าๆ แต่ SQ ก็บินนิ่มดี บริการประทับใจทีเดียว.....




วันนี้วันศุกร์ไปรอ stand by ขอไปเที่ยวเช้าประมาณ 11:30 ที่ต้องไป stand-by เพราะกลัวงานไม่เสร็จเลยจองเที่ยวเย็นไว้ แต่ปั่นงานจนเสร็จเมื่อวานก็ไปเที่ยวเช้าดีกว่า...รอ stand by 5-6 คน สรุปได้ไปทุกคน ประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงสนามบินชางฮี Changi Airport เครื่องเราลงที่ Terminal 3 จัดแจงเดินดุ่มๆไปหา monorail เพื่อไป Terminal 2 เพื่อไปลง MRT หรือ รถไฟฟ้าของสิงคโปร์ เดินทางเข้าตัวเมือง ก่อนไปสิงคโปร์เตรียมตัวหาข้อมูลมานิดหน่อย ขอขอบคุณกระทู้นำเที่ยวของ mr_spurs ที่เวป pantip.com อ่านแล้วได้ข้อมูลกินเที่ยวเพียบ ยิ่งคนเคยไปมาบ้างแล้วอย่างเรา ยิ่งง่ายใหญ่....
ตรวจ passport ที่ Terminal 2 ได้เลย แล้วเดินออกมาลงบันไดเลื่อนไป MRT ซื้อบัตรเติมเงิน EZ-card ราคา 15SGD (Singapore dollar) บัตรนี้เอาไว้ใช้เดินทางแสนสะดวก ทั้งรถไฟ รถเมล์ แค่แตะบัตรมันก็ตัดเงินไปตามระยะทาง ไม่ต้องเสียเวลาไปฟุดฟิดฟอไฟให้งง ราคาบัตรเริ่มต้น 15SGD นี้เป็นค่ามัดจำบัตร 5SGD เป็นค่าธรรมเนียมอีก 3SGD เหลือเงินใช้เดินทางได้จริงแค่ 7SGD เติมเงินได้ครั้งละ 10SGD เดินทาง 2-3 สถานีก็แค่ 1SGD นอกนั้นก็ตามระยะทางไปดูได้ตามสถานี ทั้งรถไฟและรถเมล์ รถไฟของสิงคโปร์มีหลายเส้นทาง เดินทางได้ทั่วถึงทั้งเกาะ เดินทางคนเดียวสะดวกนั่ง MRT ไปสถานีใกล้ๆที่ต้องการ แล้วเดินหรือต่อรถเอาได้ไม่ไกล

วันนี้มาถึงก็บ่ายต้นๆ ยังมีเวลาเหลือก่อนนัดเจอกันตอนเย็นกับพวกที่บินมาก่อนตั้งแต่เมื่อวาน  เลยตัดสินใจว่าจะเดินเล่นแถบ Katong ตามข้อมูลที่อ่านมา เห็นว่ามีบ้านสวยๆให้ชม แถบนี้ Katong เป็นชุมชนของชาวเปรานากัน (Peranakan) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมลูกผสมระหว่างจีนและมาเลเซียกับลักษณะอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้มีศิลปะวัฒนธรมมและสถาปัตยกรรมต่างๆเป็นลักษณะเฉพาะตัว


Sep 13, 2012

สิ่งมหัศจรรย์แห่งอียิปต์


Trip Dec.2007 : Egypt



photo gallery: Explore Egypt In 7 Days http://www.pbase.com/ton_manuswee/egypt 

และแล้วผลโหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันใหม่ก็ฝ่ากระแสคัดค้านวิพากษ์วิจารณ์กันออกมาจนได้ มีทั้งที่ๆคนพยักหน้าเห็นด้วย และบางที่ๆหลายคนขมวดคิ้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจกลับเป็นเรื่องที่สภาสูงสุดด้านวัฒนธรรมโบราณและกระทรวงวัฒนธรรมของอียิปต์ได้ออกมาประท้วงการจัดงานครั้งนี้และปฏิเสธที่จะให้ปิรามิดแห่งเมืองกิซาเข้าร่วมในการแข่งขันจัดอันดับด้วย โดยเหตุผลง่ายๆก็คือ ปิรามิดของเขานั้นมหัศจรรย์และมีคุณค่าทางประวัติศาสต์มากมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีก ท่านแอนติเพเธอแห่งไซดอน (Antipater of Sidon) นักปราชญ์ชาวกรีกผู้เลื่องชื่อ ได้คัดเลือกแล้วว่ามหาปิรามิดของเราเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณและคงเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลือมาสู่ปัจจุบันนี้ นอกจากนั้นการจัดอันดับใหม่นี้ก็เป็นแบบอคาเดมีแฟนเตเชียเสียอีก คือโหวตคะแนนตามความชอบของคนทั่วไป ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางศิลปะ วัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์ แถมยังไม่มีการควบคุมการโหวตซ้ำอีกด้วย
ทำไมชาวอียิปต์ถึงช่างอวดตัวกันนักนะ ภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของมหาปิรามิดจนไม่ยอมให้เอาไปเปรียบเทียบกับใครแบบที่คิดว่าไม่อยู่ในมาตรฐานทัดเทียมกันทีเดียวเลยหรือ จะรู้ได้ก็คงต้องไปดูให้เห็นกับตา ไปสัมผัสกับมือ ประเทศอียิปต์อยู่ใกล้แค่เอื้อม ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง ออกเดินทางราวตีหนึ่งไปถึงกรุงไคโรเวลาเช้ามืด แล้วก็ออกตะลุยดินแดนมหาปิรามิดแห่งนี้ได้เลย