Sep 16, 2012

Colorful Singapore

Trip Jan. 2009 : Singapore

ไม่ได้มาเที่ยวสิงคโปร์ซะหลายปี ได้มาก็แค่เวลาทำงาน เข้าที่ทำงานกลับโรงแรม ออกจากโรงแรมไปไซต์งาน 2 วันกลับ ไม่ได้เห็นอะไรเลย เคยมาเที่ยวจริงๆจังๆก็สักยี่สิบปีได้แล้ว ความทรงจำลางเลือนมาก เมื่อมีโอกาสได้ติดตามคนรู้ใจไปสิงคโปร์ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะไปรื้อฟื้นความทรงจำสักที เลือกซื้อตั๋ว Singapore airline เพราะบริษัทฯเขาซื้อให้สายการบินนี้ เราก็เลยซื้อสายการบินนี้ด้วย จะได้กลับด้วยกันดีกว่า ซื้อได้ราคาไม่ถูกเพราะซื้อที่เดี่ยว เดี๋ยวนี้ตั๋วโปรโมชั่นมันเป็นแพคคู่จะได้ราคาถูก มีตั้งแต่ห้าพันกว่าจนถึงเจ็ดพัน แต่เราซื้อตั๋วเดี่ยวแถมซื้อใกล้วันบินซะอีกเลยต้องจ่ายไปเก้าพันกว่าๆ แต่ SQ ก็บินนิ่มดี บริการประทับใจทีเดียว.....




วันนี้วันศุกร์ไปรอ stand by ขอไปเที่ยวเช้าประมาณ 11:30 ที่ต้องไป stand-by เพราะกลัวงานไม่เสร็จเลยจองเที่ยวเย็นไว้ แต่ปั่นงานจนเสร็จเมื่อวานก็ไปเที่ยวเช้าดีกว่า...รอ stand by 5-6 คน สรุปได้ไปทุกคน ประมาณ 2 ชม. ก็มาถึงสนามบินชางฮี Changi Airport เครื่องเราลงที่ Terminal 3 จัดแจงเดินดุ่มๆไปหา monorail เพื่อไป Terminal 2 เพื่อไปลง MRT หรือ รถไฟฟ้าของสิงคโปร์ เดินทางเข้าตัวเมือง ก่อนไปสิงคโปร์เตรียมตัวหาข้อมูลมานิดหน่อย ขอขอบคุณกระทู้นำเที่ยวของ mr_spurs ที่เวป pantip.com อ่านแล้วได้ข้อมูลกินเที่ยวเพียบ ยิ่งคนเคยไปมาบ้างแล้วอย่างเรา ยิ่งง่ายใหญ่....
ตรวจ passport ที่ Terminal 2 ได้เลย แล้วเดินออกมาลงบันไดเลื่อนไป MRT ซื้อบัตรเติมเงิน EZ-card ราคา 15SGD (Singapore dollar) บัตรนี้เอาไว้ใช้เดินทางแสนสะดวก ทั้งรถไฟ รถเมล์ แค่แตะบัตรมันก็ตัดเงินไปตามระยะทาง ไม่ต้องเสียเวลาไปฟุดฟิดฟอไฟให้งง ราคาบัตรเริ่มต้น 15SGD นี้เป็นค่ามัดจำบัตร 5SGD เป็นค่าธรรมเนียมอีก 3SGD เหลือเงินใช้เดินทางได้จริงแค่ 7SGD เติมเงินได้ครั้งละ 10SGD เดินทาง 2-3 สถานีก็แค่ 1SGD นอกนั้นก็ตามระยะทางไปดูได้ตามสถานี ทั้งรถไฟและรถเมล์ รถไฟของสิงคโปร์มีหลายเส้นทาง เดินทางได้ทั่วถึงทั้งเกาะ เดินทางคนเดียวสะดวกนั่ง MRT ไปสถานีใกล้ๆที่ต้องการ แล้วเดินหรือต่อรถเอาได้ไม่ไกล

วันนี้มาถึงก็บ่ายต้นๆ ยังมีเวลาเหลือก่อนนัดเจอกันตอนเย็นกับพวกที่บินมาก่อนตั้งแต่เมื่อวาน  เลยตัดสินใจว่าจะเดินเล่นแถบ Katong ตามข้อมูลที่อ่านมา เห็นว่ามีบ้านสวยๆให้ชม แถบนี้ Katong เป็นชุมชนของชาวเปรานากัน (Peranakan) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมลูกผสมระหว่างจีนและมาเลเซียกับลักษณะอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้มีศิลปะวัฒนธรมมและสถาปัตยกรรมต่างๆเป็นลักษณะเฉพาะตัว



รถไฟจากสนามบินคือสายสีเขียวจากสถานีต้นทาง Shangi airport มา 5 สถานี ลงที่สถานี Payalebar จากสถานีก็เดินไปทาง Singapore post ตึกใหญ่ๆสีเงินวาว เปิดแผนที่ดูทิศทางอีกทีเพื่อไปถ.จูเชียต (Joochiat Rd.) ก็เดินไปตามลายแทงของคุณ spurs นั่นแหละ พอเข้า Joochiat rd. แล้ว จะเห็นตึกรามบ้านช่องทั้งสองข้างทาง มีรูปแบบสวยงาม สีสันสดใสตลอดถนนเลย ส่วนมากก็เป็นร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ ร้านโชห่วยก็มี แต่สวยงามไปทั้งแถบ เดินเข้าไปเรื่อยๆจนถึงทางแยกถนนคุนเส็ง (Koonseng Rd.) เลี้ยวเข้าไปจะพบกับบ้านสวยงามสีสันลูกกวาดอย่างในภาพ บ้านเหล่านี้เป็นสถาปัตยกรรมไสตล์ลูกผสม ปัจจุบันก็ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ที่โดดเด่นนอกจากสไตล์ของบ้านแล้ว สีสันยังสวยงามถูกใจนักถ่ายภาพยิ่งนักแถมคนก็ไม่พลุกพล่านด้วย จากถนนคุน เส็ง ย้อนกลับมาที่ถนนจูเชียตเดินต่อไปจนถึงถนนฟอว์ลี่ (Fawlie rd.) เลี้ยวเข้าไปไม่ไกลจะพบวัดแขก Sri Senpaga Vinayagar โผล่มากลางซอย รูปสลักสวยงามโดดเด่นมาก วัดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของสิงคโปร์ไว้แล้วด้วย 
นอกจากวัดแขกแล้วในบริเวณนั้นยังมีโบสถ์คริสต์ และมีวัดเจ้าแม่กวนอิมด้วย หาดูจากแผนที่ท่องเที่ยวได้ เดินวนได้ทั่ว แต่ละถนนที่แยกจากจูเชียตเป็นถนนสั้นๆทั้งนั้น
ตามลายแทงที่อ่านมาบอกว่า อาหารการกินแถวนี้อร่อยหลายอย่าง เช่น Laksa ซึ่งเป็นอาหารของชาวเปรานากัน หน้าตาเหมือนอาหารพม่าปนแขก แต่เราก็ไม่ได้ชิม เพราะยังไม่หิวเท่าไหร่ หลังจากเดินเล่นวนไปมาจนพอใจ เราก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับไป MRT Payalebar เพื่อต่อรถไปยังที่นัดที่ร้าน No signboard ร้านอาหารจีนที่ Esplanade หรือตึกทุเรียนนั่นเอง นั่งรถสายสีเขียวต่อไปอีก 5 สถานี ถึงสถานี City hall มองหาป้ายทางขึ้นที่ไปใกล้ๆ Esplanade โผล่ขึ้นมา มองดูตึกทุเรียนแล้วก็ยังสงสัยในความคิดของ designer ว่าแกคิดอะไรถึงได้ออกแบบแปลกพิสดารขนาดนี้


ดูเวลาแล้วยังไม่ถึงเวลานัด จึงเดินอ้อมตึกทุเรียนไปริมอ่าว เดินข้ามสะพานไปที่ Merlion Park เที่ยวชมสัญญลักษณ์ของสิงคโปร์ซะก่อนเลย เจ้าสิงโตพ่นน้ำตัวนี้ใครไปใครมาสิงคโปร์ต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ชนิดว่าใครไม่มีรูปถือว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์กันเลย เราจึงเจอกรุ๊ปทัวร์ โดยเฉพาะคนไทยและคนจีน เยอะแยะไปหมด เดินวนไปวนมารับลมยามเย็น ถ่ายรูปสิงโตพ่นน้ำบ้าง ถ่ายภาพกลับไปฝั่งตรงข้ามที่ตึกทุเรียนบ้าง มองไปไกลๆจะเห็นชิงช้านรก (Singapore flyer) ที่ว่านรกเพราะมันค้างบ่อยมากๆ ค้างทีละนานๆ ล่าสุดนี่ได้ข่าวว่า GM ขอเนรเทศตัวเองออกไปแล้ว...เฮ้อ...


ได้เวลานัด ข้ามสะพานกลับมาที่ตึกทุเรียน ทุกคนมากันพร้อมหมดแล้ว เจ้าถิ่นทั้ง 3 คือ Pekboon, Erik และ Rob สั่งอาหารทะเลมาเต็มโต๊ะ Tiger prawn ทอดกระเทียมพริกไทยตัวใหญ่เบ้ง ปูทะเลผัดผลกระหรี่ ผัดพริกไทยดำ และอื่นๆที่วางจนล้นโต๊ะ พลพรรคทั้ง 7 คนกินกันแทบไม่หมด วันนี้เจอธรรมเนียมแปลกๆของคนสิงคโปร์ คือเอาเส้นหมี่หน้าตาเหมือนหมี่กรอบมาเทรวมๆกันให้สูงเหมือนภูเขา ถึงเวลาก็เฮละโลสาวเส้นกันขึ้นโยนๆๆ Pekboon บอกว่าทำเป็นเคล็ดว่าจะเฮงๆส่วนมากทำตอนปีใหม่ แต่เดี๋ยวนี้ทำกันตลอดปี นอกจากนั้นคนเชียร์เบียร์ที่นี่ไม่ยักใช่สาวนุ่งน้อยห่มน้อย กลับกลายเป็นตาลุงใส่ชุดจีนโบราณสีแดงถือโถใส่คำทำนายมาให้จับแล้วก็แจกรางวัลเล็กๆน้อย แลกกับการสั่งเบียร์สด 1 เหยือก แปลกมั๊ยล่ะ


อิ่มอาหารเย็น เจ้าถิ่นทั้ง 3 พาพวกเราเดินย่อยอาหาร ชมเมืองยามค่ำคืนผ่านแถบ Marina bay ข้ามสะพานหน้าโรงแรมสุดหรู Fullerton ที่ประดับประดาไฟสวยงาม เดินเลาะเลียบอ่าวไปเรื่อยๆ แล้ววนข้ามกลับไปแถบ Boat Quay วันนี้เป็นเย็นวันศุกร์ ไอริชผับ 2 ร้านเต็มไปด้วยฝรั่งหัวแดง ชนิดที่คิดว่าฝรั่งที่มาทำงานที่สิงคโปร์ทั้งเกาะมารวมตัวกันที่นี่ เราจึงเดินผ่านไปจนถึง Asian Civilization Museum ตัวพิพิธภัณฑ์น่ะปิดแล้ว แต่ลานด้านหน้าเปิดเป็นร้านอาหาร Erik ชวนนั่งดื่มที่นี่ แต่ดวงไม่ดีเพราะส่วนที่เป็น drink area เต็ม เหลือแต่ส่วน Dinner เขาไม่ให้นั่งนอกจากจะกินอาหารเย็น เขาเคร่งครัดกันดีจริงๆ สรุปว่าอดกัน แต่พวกเราก็เหนื่อยกันพอสมควรแล้ว เพราะ 3 คนที่มาก่อนเมื่อวาน วันนี้ไปเที่ยวเกาะเซนโตซ่ากันมาทั้งวัน เกาะนี้เราเคยไปแล้ว ไม่ได้นึกอยากไปอีก แต่คนไม่เคยไปเขาก็อยากไป ถ้าจะไปก็อยากไปดูไซต์งานของบริษัทฯมากกว่าที่กำลังก่อสร้างคาสิโนใหญ่ยักษ์อยู่ที่นั่น คงได้มีโอกาสไปดูสักครั้ง สรุปว่าเราแยกกันที่ Fullerton hotel โดย Erik เรียก Taxi ส่งพวกเรากลับโรงแรม Concorde ที่ถนนออร์ชาร์ด (Orchard rd.)


เช้าวันต่อมา น้องผู้หญิงกับลูกค้าจะกลับก่อน วันนี้จึงเป็นวัน shopping ของทั้งสองคน น้องสาวต้องการดูพวกเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าจึงขอแยกตัวไปเดินแถบถนนออร์ชาร์ด ส่วนลูกค้าไปได้คำแนะนำมาจากบริษัทฯที่ฟัง presentation เมื่อวานว่าให้ไปเดิน Funan tower ดูพวกมือถือและคอมพ์ เราจึงพานั่ง MRT จาก Dhoby Ghaut ไปที่สถานี City hall ออกจากสถานีเดินผ่านโบสถ์เซนต์แอนดรูว์ (St. Andrew Cathedral) ไปนิดเดียวก็ถึงตึก Funan มาถึงสิบโมงกว่าร้านยังเพิ่งเริ่มเปิดเลย ปล่อยพี่เขาเดินชมไปก่อน เราเดินไปกินอาหารเช้าที่ร้าน Yakun Kaya Toast ร้านนี่ขายขนมปังปิ้งทาเนย ทาแยม สังขยา กาแฟ ชา ไข่ลวกก็มี เป็นชุดอาหารเช้า เขาว่าเป็นร้านดังมีหลายสาขา ดูแล้วเหมือนมนต์นมสดทำนองนั้น อิ่มหนำสำราญก็ไปร่วมเดินดูกับพี่เขา ได้แต่ดูเฉยๆเพราะราคามือถือมันไม่ต่างจากเมืองไทย อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็พอๆกัน เดินไม่นานก็หมด 5 ชั้น เลยตัดสินใจนั่งรถไฟกลับ แต่จะไปลงสถานี Orchard เลย แล้วเดินเล่นตามถนนย้อนกลับมาโรงแรม

สถานีออร์ชาร์ดอยู่กลางย่านช๊อปปิ้งเลยทีเดียว โผล่จากรถใต้ดินมาบนถนนเราจะเจอกรวยกระจกใหญ่ๆเก๋ไก๋ คือห้าง Wheelock  ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกชอว์ บราเดอร์ มีจอ LCD ฉายหนังกับโฆษณาด้วย เดินไปเรื่อยๆผ่านห้างใหญ่ๆหลายห้าง แต่ละตึกใหญ่โตมโหระทึกทีเดียว หากจะเข้าไปเดินชมทุกตึก คงต้องอยู่เป็นอาทิตย์ แต่เราไม่ใช่นักช๊อป จึงได้แต่เดินชมตึกไปเรื่อยๆ ทางเดินที่นี่กว้างมากๆ เตรียมสำหรับรองรับนักช๊อปให้เดินกันได้ไม่เบียดเสียด บางช่วงกว้างกว่าถนนด้วยซ้ำ เดินมาเรื่อยจนถึงโรงแรม เข้าไปนั่งรอตามเวลานัดเที่ยงครึ่ง แล้วก็ออกมาหาข้าวกินข้างโรงแรม ใต้ถุนตึกก็มี food court แต่แฟนเราบอกว่านั่งข้างตึกดีกว่า ดูวิวดูคนไปด้วย ก็เลยไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลากัน รดชาดจืดชืดไปหน่อย ก็แค่พอกันหิวได้ อิ่มกันทุกคน ก็เข้าไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ส่งสองคนนั้นขึ้น Taxi ไปสนามบิน ส่วนเรา 2 คนก็ลากกระเป๋าไป MRT Dhoby Ghaut ที่เดิม เพื่อต่อรถไป Chinatown คืนนี้เราจองโรงแรม 81 Chinatown ไว้ นั่งไปแค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว โผล่ขึ้นมา งงหลงอยู่พักหนึ่งเลยเดินวนซะไกล แถมคนก็เยอะเพราะใกล้ตรุษจีน ที่จริงโรงแรมอยู่ติดทางขึ้นลงรถไฟนิดเดียว ถ้าเลือก exit ถูก




รร. 81 มีสาขาเยอะมากๆ แค่แถบ Joochiat เมื่อวานก็เจอไป 3 สาขาในถนนเดียว เราเลือกที่นี่เพราะทำเลดีมาก อยู่กลาง Chinatown และติดสถานีรถไฟ แต่ราคาไม่ถูกเลย ร่วมสามพันกว่า ห้องเล็กมาก เน้นว่าเล็กมากๆๆๆ คือใหญ่กว่าเตียงไม่เท่าไหร่ ห้องน้ำก็กระทัดรัด แต่สิ่งอำนวยความสะดวกมีครบเท่า Concorde ราคาหกพันเมื่อวาน ยกเว้นไม่มีตู้เย็น แถมที่นี่มี cable ให้ดูบอลพรีเมียร์ลีกได้ด้วยแฮะ... ที่สำคัญสะอาดและปลอดภัยดี
เก็บข้าวของ นอนพักดูถ่ายทอด The Royal Trophy สักพัก ก็ออกไปเที่ยวต่อ วันนี้ขอไปเดิน Little India ซึ่งแฟนเราพา 2 คนนั้นมาเดินแล้วเมื่อวันแรก แต่ก็พาเราไปอีกที คราวนี้มีเวลา เลยเดินเล่นได้รอบๆ เข้าตามซอกซอย


ลืมไปเลยว่าอยู่ประเทศไหน เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่สาวห่มสาหรี่เดินปลิวไปทั่ว ถึงจะเป็นย่าน India แต่อาคารแถบนี้ก็มีการเล่นสีสันสดใสสวยงามด้วย ร้านค้าส่วนมากเป็นร้านเครื่องเทศ, เครื่องหอม, ขายดอกไม้, ขายผ้า ร้านอาหารก็มีเยอะ เดินวนได้เป็นบล็อคๆ ผู้คนคึกคักเพราะมีงานเกี่ยวกับเทศกาลพืชผลอะไรสักอย่าง (Pongal Harvest Festival) เดินข้ามไปเข้าถนนดันลอป (Dunlop Rd.) เดินไปพอสมควรจะเจอมัสยิดเก่าแก่ Masjid Abdul Gafoor  ขนาดไม่ใหญ่นักแต่สวยงามทีเดียว และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี 1979 หากเดินไปตามถนนหลัก Serangoon Rd. ก็จะพบกับวัดแขก Sri Veeramakaliamman วัดฮินดูของย่านนี้ วัดนี้ก็มีรูปปูนปั้นวิจิตรตระการตาเช่นกัน เสียดายที่เราไปถึงช่วงบ่ายซึ่งปิดเพื่อทำพิธีภายใน เราจึงได้แต่ถ่ายภาพซุ้มประตูด้านหน้า จากสนามบินมีแผ่นพับนำเที่ยว Little India อยู่ด้วย หยิบติดมือมาแล้วเดินตามลายแทงที่การท่องเที่ยวสิงคโปร์แนะนำก็ได้ แต่เรามีนัดกับน้องอ้อยและสามีในตอนเย็นวันนี้ เลยไม่อยากเดินไปไกลมาก เราวนกลับมาใกล้ๆสถานีรถไฟ เข้าไปดูบริเวณ Little India art belts มีบ้านหลังงามๆอยู่หลายหลัง และ มีร้านขายของน่ารักๆอยู่หลายร้านรอบๆลาน Jalan bezar



            ใกล้เวลานัดเราจึงใช้รถไฟฟ้าไปบ้านน้องอ้อย เพื่อไปเยี่ยมน้องใบเตยอายุ 3 เดือน บ้านของน้องเป็นคอนโดมิเนียมอยู่ชานเมือง คนสิงคโปร์ส่วนมากอาศัยอยู่ในห้องพักลักษณะนี้ แต่ละชุมชนจะมีอาคารอยู่รวมกันเป็นสิบๆหลัง เพื่อนสิงคโปร์เล่าว่าคอนโดลักษณะนี้มีทั้งของเอกชนและของรัฐบาลที่สร้างมาขาย เราลงรถจากสถานี Little India ใช้สายสีม่วงมาที่ Junction Dhoby Ghaut เปลี่ยนไปใช้สายสีแดงขึ้นเหนือ คราวนี้นั่งไปไกลหน่อยไปถึง Ang Mo Kio น้องอ้อยกับสามีเดินมารับที่สถานีพาไปที่ห้องพัก น้องใบเตยกำลังน่ารักเลยเชียว มีคุณยายไกวเปลให้นอนหลับปุ๋ย เลยไม่ได้อุ้มเล่น คอนโดที่พักมองดูเหมือนๆกันเต็มไปหมดต้องอาศัยจำเลขที่อาคาร สภาพแวดล้อมโดยรวมดูดีมาก สะอาดมากๆ ใต้คอนโดโล่งสะอาดไม่มีข้าวของวางเกะกะ ไม่มีเพิงขายของ สนามเด็กเล่นมีอยู่ทุกพื้นที่สนามระหว่างคอนโด และเครื่องเล่นใหม่ทาสีสดใส ไม่มีแบบสนิมเกรอะกรังหรือชิงช้าขาดแบบบ้านเรา ห้องพักของน้องใหญ่โตเป็นลักกษณะห้องชุดมี 3 ห้องนอนขนาดย่อม และส่วนครัวกว้างขวาง ดูแล้วคุณภาพชีวิตดีทีเดียว พวกเรานั่งเล่นพูดคุยกันไปพักใหญ่ ก็พากันออกไปหาอาหารเย็นกินกันที่ Chinatown ฝากน้องใบเตยไว้กับยาย เราเดินออกมาที่ป้ายรถเมล์ น้องอ้อยบอกว่าไปรถเมล์เร็วกว่า เพราะเป็นรถด่วนวิ่งขึ้นทางด่วนจอดไม่กี่ป้าย นั่ง MRT จะนานกว่า เราไปยืนรอรถโดยการกะเวลาของคุณสามีน้องอ้อย ฮีบอกว่ารถมีเวลาหกโมงเย็นจำตารางเวลาได้ ไปยืนดูตารางรถอีกทีมีรถเวลา 18.05 น.จริงๆ คนที่นี่สามารถกำหนดเวลานัดได้ เพราะรถมาค่อนข้างตรงเวลาและรถไม่ติดมากนัก เรารอรถสักพักเพราะมันช้าไปประมาณ 5 นาที ได้ขึ้นรถไปพร้อมคนอีกจำนวนมาก รถแน่นทีเดียว ค่ารถเท่าไหร่ไม่ได้จำ แต่ใช้บัตร EZ card แตะขาขึ้นและขาลง เป็นระบบที่ดีออก เพียงแต่กระเป๋ารถเมล์คงตกงานกันหมด ถึงได้มีเสียงต่อต้านกันยกใหญ่ที่เมืองไทย ไม่ต้องมีพัฒนาการใดๆ เพราะกลัวคนตกงาน...



            อยู่บนรถไม่นานก็มาถึง Chinatown ลงรถมาตอนเย็นนี้ตกใจมาก เพราะจำนวนคนที่เดินกันแถว Chinatown เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อตอนบ่ายอีกหลายเท่าตัว เดินไปตาม Pagoda St. ซึ่งเป็นถนนเส้นกลางคนแน่นจนต้องไหลกันไป ช่วงนี้ร้านรวงเริ่มตกแต่งร้านรับตรุษจีนในช่วงปลายเดือนกันแล้ว หลายๆร้านขายของตรุษจีนกันคึกคัก เราไหลๆตามกันไปเลี้ยวตัดมาที่ Smith St. ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นถนนอาหารเพราะมีแต่ร้านอาหารไปตลอดสองด้าน ทั้ง Pagoda และ Smith St. เป็นถนนคนเดินทั้งหมด และเต็มไปด้วยคน ร้านอาหารสองฝั่งมีทั้งเป็นร้านและเป็นรถเข็น เหมือนตลาดโต้รุ่งบ้านเรา เพียงแต่ค่อนข้างเป็นระเบียบ และไม่มีล้างจานเทน้ำทิ้งให้เฉอะแฉะ เสียดายที่ไม่ทันได้ดูว่าเขามีระบบจัดการกันอย่างไร น้องอ้อยบอกว่าวันนี้ชวนมากิน Hot pot ซึ่งตอนนี้ฮิตกันมาก เราก็เห็นคนนั่งกินตามรายทางหลายร้าน เดินผ่านร้านรถเข็นขายบะหมีเกี๊ยวมีป้ายภาษาไทยตัวใหญ่ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ คิดถึงชายสี่หมี่เกี๊ยวขึ้นมาเลย ร้านหม้อไฟที่เราเข้าไปกินเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ สั่งเนื้อสั่งผักต่างๆมากินได้เรื่อยๆ ไม่มีจับเวลาให้ต้องคอยดูนาฬิกาแบบบ้านเรา หม้อไฟมีน้ำซุป 2 แบบ แบบน้ำซุปธรรมดากับแบบเผ็ด อร่อยได้ใจทั้ง 2 แบบ กินกันได้ไม่มากก็อิ่มแล้ว เจ้าของร้านเชิญชวนให้กินอีก แต่เราไม่ไหวแล้วสู้เด็กวัยรุ่นโต๊ะข้างๆไม่ได้ มาก่อนเราแล้วยังสั่งกันเรื่อยๆอีกแฮะ คิดราคาค่าเสียหายรวมเบียร์ชิงเต่า 3 ขวดด้วย หารกันเป็นคนละ 70SGD ค่อนข้างแพงหน่อยมื้อนี้ เป็นไปตามค่าครองชีพ แต่ก็อร่อยดี



            อิ่มอาหารเย็น พวกเราเลี่ยงความหนาแน่นของ Chinatown ไปเดินเล่นแถบ Clarke Quay นั่ง MRT ไป 1 ป้ายเพราะ เริ่มขี้เกียจเดินและมึนกันนิดๆ สถานี Clarke Quay เชื่อมต่อกับห้างเปิดใหม่ Central ไม่รู้ว่าตระกูลดังบ้านเราไปมีหุ้นกับเขาหรือเปล่า เพราะความเป็นห้างใหม่ คุณสามีชาวสิงคโปร์เลยพาหลงซะ วนไปวนมาก็โผล่มา Clarke Quay จนได้ ผู้คนเยอะแยะคึกคักยามค่ำวันเสาร์ วัยรุ่นเดินกันขวักไขว่ คนสิงคโปร์ก็เยอะ นักท่องเที่ยวก็แยะ เราเดินเล่นย่อยอาหารกันสักพักก็เข้าไปนั่งจิบเบียร์กันต่อที่ Hooters ผับดังจาก USA เปิดสาขาที่เอเชียแห่งแรกที่นี่ ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ของสาวเสิร์ฟไว้ คือหุ่นอึ๋มนุ่งสั่นเสื้อเว้าลึด --" แต่เหตุผลที่เลือกร้านนี้เพราะมีจอฉายฟุตบอลพรีเมียร์ นั่งจิบกันไปคุยกันไปดูบอลไป ห้าทุ่มกว่าเริ่มไม่ไหวแล้วเหนื่อยและง่วง ทั้งพ่อ-แม่ลูกอ่อนน่าจะต้องไปดูลูกสาวแทนยายได้แล้ว จึงร่ำลากันที่สถานีรถไฟ แยกย้ายกันกลับห้องกลับบ้านนอนหลับสนิท..


            วันสุดท้ายมีเวลาแค่ค่อนวันก่อนจะกลับบ้าน เช้านี้ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ออกไปหาอาหารเช้ารองท้อง เดินไปถนนสมิทธิ์แวะเข้าร้าน Takpo ทานติ่มซำ โจ๊ก ข้าวอบ จิบชาร้อนๆ มองดูคนขนของสด ผักผลไม้ขึ้นลงตลาดแถบนั้นเพลินๆ จากนั้นก็ออกเดินสำรวจ Chinatown ยามเช้า ร้านรวงยังไม่ค่อยเปิด แต่ก็ได้ถ่ายภาพตึกสวยแถบนั้น สีสดทีเดียว เพียงแต่มีเต๊นท์กางไว้ตลอดถนน ซึ่งเป็นเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น เดินไปจนสุดถนนสมิทธิ์เลี้ยวขวาไปตามถนน South Bridge นิดเดียวจะพบกับอาคารใหญ่สวยงามเรียกว่า Buddha Tooth Relic Temple หรือวัดพระเขี้ยวแก้ว ภายในจัดตกแต่งสวยงาม มีพระเขี้ยวแก้วให้นมัสการ ออกจากวัดเดินเลียบถนน South Bridge ไปที่สี่หรือห้าแยกไม่แน่ใจ มองเห็นอาคารงามๆอยู่ด้านหน้า ซ้ายมือคือ Maxwell food court เราข้ามถนนเดินเข้าถนน Tanjong Pagar สองฝั่งถนนอาคารสวยงามเรียงราย สีสวยสดไปตลอดถนน เช้าๆวันอาทิตย์อย่างนี้ถนนเงียบเชียบแทบไม่มีรถ และร้านปิดเงียบเพราะแถบนี้ดูชื่อแล้วเป็นผับบาร์ทั้งหมด ตอนกลางคืนคงคึกคักและไฟสว่างไสว แต่เรานิยมชมชอบดูอาคารสวยๆจึงชื่นชอบเวลาเงียบๆอย่างนี้ เดินไปจนสุดถนนวนกลับมาถนน Duxton ซึ่งขนานกับถนน Tanjong Pagar แต่เล็กว่า ถนนขึ้นเนินเล็กๆมีโค้งซ้ายขวา เป็นถนนที่น่ารักมากตึกสวยเหมือนเดิมเงียบเหมือนเดิม

            เราวนกลับไปโรงแรมเก็บของเอากระเป๋ามาฝากที่เคาเตอร์ มีเวลาเหลือ จึงคิดไปเดินเล่นแถบ Bugis ใช้รถไฟจาก Chinatown ต้องเปลี่ยนรถไป 3 สาย 3 สี ค่อนข้างเสียเวลา แต่ก็ไม่หลง โผล่เข้ามาในห้างติดแอร์ Bugis Junction เป็นห้างน่าเดิน มีร้านเรียงรายและมีรถเข็นขายของบูทเล็กๆตามทางเดิน ลักษณะเหมือนพลาซ่าบ้านเรา ทั้งหมดมีหลังคาคลุมเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เดินเล่นสบายใจ ไม่ซื้ออะไรเช่นเคย แวะพักจิบกาแฟดูคนเดินไปมา หยิบโพยท่องเที่ยวมาดูเห็นว่าบริเวณนี้มีบันไดวนสีสวยที่คนชอบมาถ่ายรูป จึงเดินออกจากห้างไปด้านถนน Victoria ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเป็นตลาดนัด Bugis street ด้านในขายของเยอะแยะ รองเท้ากระเป๋า,นาฬิกา,ของพวก gift shop ก็เยอะเหมาะกับนักช๊อปอย่างมาก เราเดินเล่นทะลุไปด้านหลังวนอ้อมซ้ายไป 1 รอบเจอบันไดวนเหมือนกันแต่มุมไม่เห็นสวย สีซีดไปหน่อย พอวนไปด้านขวาตลาด เจอบันไดวนชุดงาม 1 ชุด สีสดได้ใจมาก เข้าใจว่าเป็นบันไดหนีไฟของบ้านพัก แต่สร้างเหมือนกันได้แถวได้แนวและทาสีสดใสน่ารัก กลายเป็นจุดท่องเที่ยวไปเลย ถ่ายรูปไปซะหลายรูปอุตส่าห์เดินหาจนเจอ




ยังพอมีเวลาจึงเดินต่อไปอีกไม่ไกลไป Sim Lim square มองหา Lens ที่เพื่อนฝากซื้อ Sim lim square เป็นศูนย์รวมอุปกรณ์ไฟฟ้า กล้อง มือถือ คอมพิวเตอร์ คล้ายๆพันทิปเลย แต่ว่าไม่มีคนมาสะกิดให้ซื้อหนังแผ่นหรือเพลง MP3 เดินหาของไปพักใหญ่ ไม่ได้ตามต้องการจึงเดินกลับมากินข้าวหน้าเป็ดร้านด้านหลังตลาดนัด Bugis น่าจะเป็นร้านดังเอาการเพราะป้ายเยอะถึงอ่านไม่ออกแต่ดูน่าเชื่อถือ คนกินกันเยอะเลย ข้าวหน้าเป็ด บะหมี่เป็ดอร่อยดี ระหว่างกินข้าวหยิบแผนที่มาพินิจพิเคราะห์พบว่า ถนน Victoria ที่เราข้ามมา เป็นถนนเส้นตรงไป Chinatown ได้เลย ไปไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย จะไปนั่งรถไฟย้ายสาย 3 รอบทำไม จึงไปยืนอ่านตารางรถเห็นสาย 2 บอกว่าผ่าน Chinatown จึงขึ้นไปนั่ง ไปไม่กี่ป้ายก็ถึงหน้ารร.81 ของเราแล้ว เร็วกว่ารถไฟมาก จ่ายด้วยบัตร EZ card เหมือนเดิม
            เข้าไปรับกระเป๋าลากออกมาขึ้นรถไฟ MRT นั่งยาวไปถึงสนามบินได้เลย เปลี่ยนสาย 1 ครั้ง เปลี่ยนขบวนเข้าสนามบินอีก 1 ครั้ง แสนสะดวกสะบาย ถึงสถานี Shangi airport แล้ว อย่าลืมเอาบัตร EZ card ไปแลกคืนเงินที่เหลือ ลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อนเข้าสนามบินไปเช็คอิน เขาบอกกันว่าทุกสายการบินที่บินไปกรุงเทพฯจะออกจาก Terminal 2 หมด จึงสะดวกในการกลับบ้านเป็นอย่างยิ่ง

            มาคราวนี้ไม่ได้ไป เซนโตซ่าและ Night safari แต่แฟนพาลูกค้าไปเที่ยว ดูรูปแล้วก็เฉยๆ อาจเพราะเคยไปแล้วก็ได้ แต่บ้านสวยๆ ร้านขายของต่างๆนี่สนุกน่าสนใจกว่า ยังมีอีกหลายที่ไม่มีเวลาพอที่จะไป พวก museum ต่างๆก็ไม่ได้เข้าเลย ถ้ามีโอกาสไปใหม่จะไปเก็บตกที่เหลืออีกหลายๆที่ให้ได้.......



Colorful Singapore Photo Album : http://www.pbase.com/ton_manuswee/colorful_singapore

No comments:

Post a Comment