Dec 10, 2012

แดด●ฝน●หิมะ●ลูกเห็บ●หนาวเหน็บที่ทัสมาเนีย ๒

TRIP SEPTEMBER 2012: AUSTRALIA [MELBOURNE & TASMANIA]

Tasmania Photo Gallery @pbase> Tasmania 









.....
ย้อนอ่านภาค ๑ [Day1 - Day4]
.
Day 5 : Launceston – Stanley

เช้านี้ต้องออกแต่เช้าเพื่อไปส่งเก๋ที่สนามบินเพื่อบินกลับไป Melbourne แล้วต่อเครื่องบ่ายกลับไทย เก็บข้าวของออกกันเลย แวะส่งเก๋ที่สนามบินร่ำลากันแล้ว พวกเรา 3 คนก็ขับขึ้นเหนือไปและเลาะออกตะวันตกเพื่อไปปลายทางที่เมือง Stanley เป้าหมายแรกคือเมือง Devonport หากมาทางเรือ Spirit of Tasmania จากเมลเบิร์นจะต้องมาขึ้นที่เมืองนี้ ทริปก็จะเป็นเที่ยวเหนือลงใต้ก็ได้ หรือจะมาเครื่องลง Hobart แล้วเที่ยวขึ้นเหนือกลับเรือก็ได้ค่ะ

ระหว่างทางก็ขับวนเข้าเส้น Tourist route เช่นเคย จริงๆมันคือถนนเส้นในนั่นเอง คู่ขนานกับไฮเวย์ เส้นในจะขับผ่านเมืองต่างๆได้ชมเมืองไปด้วย ชอบตรงไหนก็จอดดูได้ เราเข้าไปแวะ Devonport เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนเพราะเมื่อเช้าไม่ทำอะไรทานเลย แม่ครัวกลับ Flight เช้าขี้เกียจทำ วนเข้าไป McDonald กันมื้อนี้เพราะทุกคนจะได้ใช้ Free wifi ด้วย ขาดการติดต่อโลกภายนอกกันมาหลายวัน ไหนจะข่าวไหนจะงาน ถือโอกาสเช็คเมล์ไปด้วย

อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ เรายังคงใช้ tourist route ช่วงต่อจากนี้จะเป็นถนนเลียบทะเล อากาศไม่แจ่มนัก ฟ้าปิดแต่ก็ถือว่าโอเค ฝนไม่ตก ขับไปถึงเมือง Penguin ต้องขอแวะเพราะเจ้าเพนกวินยักษ์ยืนยิ้มเผล่อยู่ริมหาด (เราตัดโปรแกรมไปดูเพนกวินเดินกลับรังที่ Low head ออก เพราะเมื่อวานขี้เกียจแล้ว เหนื่อยด้วย มันต้องขับรถออกจาก Launceston ไป Low head อีกเป็น 100 กิโล ดูเสร็จมืดๆขับกลับมานอน Launceston อีก เลยไม่ไปล่ะ) เมืองนี้น่ารักดี ไม่ได้มีเพนกวิน แค่มีชื่อเพนกวิน แวะเข้า Tourist information เพื่อซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ได้คุยกับป้า cashier ป้าใจดีมากช่วยเหลือสุดๆ พร้อมเอาแผนที่มากางชี้ว่า จากนี้ไปเธอต้องแวะที่ Wynyard นะ must see เลยนะเธอ ป้าแนะนำ 2 จุดคือ Table Cape มันมี Tulip field  ป้าย้ำนักหนาว่าต้องแวะๆๆ และอีกที่คือ Boat Harbor Beach ป้าว่ามันสวยมว๊ากกกก เมื่อคืนเราก็อ่านโลกโดดเดี่ยวมา เจอเหมือนกันว่าช่วงปลายเดือนกันยาถึงต้นเดือนตุลาจะเป็นเทศกาลดอกทิวลิป ยิ่งป้ามากำชับด้วยแล้ว เราคงต้องแวะ แม้ไม่อยู่ในโปรแกรม!

ออกจาก Penguin ขับตามถนนเส้นในไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึง Wynyard อากาศก็อึมครึมอยู่อย่างนั้น ลมพัดแรงมากๆ ยิ่งตอนขับรถไปทาง Table cape นั่นจะต้องขึ้นเนินเขาไปนิดหน่อย และใกล้ชายฝั่ง ยิ่งลมแรงใหญ่ สังเกตป้ายจะมี Tulip festival เขียนไว้ จึงมั่นใจขับไปเรื่อยๆ สักพักก็เห็นป้ายชี้ว่า Tulip farm รีบเลี้ยวรถเข้าไปทันใจ โอ้ว...มีทิวลิปเป็นทุ่งจริงๆ แต่ไม่แน่นมาก บางแนวยังไม่บานเลย ที่นี่เป็นฟาร์มเอกชน มีป้ายบอกว่า ค่าบำรุงสถานที่คนละ 5AUD แต่ก็ไม่มีคนเฝ้าคนเก็บเงิน สาววิ่งลงแปลงดอกไม้ทันที ทั้งๆที่หนาวจับใจ แต่ไม่แน่ใจอากาศที่ทัสมาเนียเลย กลัวฝนลงเลยรีบวิ่งไปชมก่อน 1 หนุ่มเลยเดินไปจ่ายเงินให้ในเคาเตอร์ด้านใน มาคราวนี้ได้รู้จักทิวลิปหลายแบบหลายพันธ์ บางดอกก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นทิวลิป ยิ่งพอเข้าไปด้านใน เค้าจะติดป้ายชื่อพันธ์ต่างๆไว้ด้วย ใครชอบมากๆเค้ามีตัดดอกขายด้วย

จากที่ฟาร์มนี้มองไปจะเห็น light house สีขาวๆอยู่ไม่ไกลนัก คงเป็น Table cape light house ไม่น่าไกลจากตรงนี้ ตัดสินใจขับรถต่อไปตามป้าย เลี้ยวซ้าย 1 ที เลี้ยวขวาอีก 1 ที โอ้ว....แม่เจ้า ด้านหน้า Light house มีทุ่งทิวลิปใหญ่โตสีสันสวยงาม ให้ได้ถ่ายรูปกันสบายๆ ถึงจะล้อมรั้วไว้ แต่ก็เปิดประตูไว้เลย ไม่มีคนไม่มีใคร ดอกก็ออกเต็มสวยงาม ถ่ายได้เลย พร้อม Lighthouse เป็นฉากหลัง ดังนั้นใครมาก็ให้พุ่งตรงมาที่ประภาคารเลยนะ ไม่ต้องแวะที่อื่น ดูตามโปสการ์ดแล้ว หากขึ้นไปบนยอดประภาคาร (เสีย 7AUD) มองลงมาจะเห็นทุ่งทิวลิปเต็มไปทั้งหมดสวยงามมาก แต่ช่วงนี้มองไปโดยรอบ ยังเห็นไถหว่านกันอยู่เลย คงไม่คุ้มที่จะขึ้น เลยถ่ายรูปกันที่ทุ่งนี้อีกพักก็รีบออกเดินทางต่อ (หนังสือนำเที่ยวก็บอกให้มาดูทวิลิปที่ Table cape นี่ แต่เราใจเร็วเจอป้ายก็รีบเลี้ยว เลยเจอของเอกชนนะ)

ด้วยว่าอากาศมัวซัว เราเลยตัดสินใจไม่แวะ Beach ที่ป้าสั่งเพราะคงไม่สวยนัก และเรายังต้องไปอีก 30-40 กม. เพื่อให้ถึง Stanley จะได้ขึ้น The Nuts ได้ทันก่อน Cable car ปิดตอน 4 โมงเย็น พลขับเหยียบไปเต็มลิมิต เราก็มาถึง Stanley ในเวลาใกล้เคียง 4 โมงเย็น มองเห็น The Nut ตั้งแต่ยังไม่เลี้ยวแยกเข้าเมือง รีบหาทางไปที่สถานีเคเบิ้ลก่อนลุ้นว่าให้ทัน ก็ทันจริงๆเพราะเค้าติดป้ายว่าปิด 16.30 ไม่ใช่ 16.00 ตามที่โลกโดดเดี่ยวบอก แต่มันก็ขึ้นกับช่วงฤดูด้วยน่ะแหละ ลงจากรถก็ต้องกลับขึ้นรถทันทีไปงัดอุปกรณ์กันหนาวเพิ่ม เพราะลมแรงหนาวจริงๆจังๆ ซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ซึ่งเค้าถามว่าจะเอาเที่ยวเดียวหรือไปกลับ ขากลับเที่ยวสุดท้ายคือ 17.30 นับจากตอนนี้ก็ประมาณ 45 นาที ยูมีเวลาเดินสำรวจด้านบนได้ทั่วแหละ หลังจากพิจารณาแล้ว The Nuts มันไม่ได้สูงมาก ทางเดินก็เห็นเป็นทางปูนสะดวกสบาย เราเลยเลือกที่จะเดินลง จัดแจงจ่ายเงินแล้วขึ้นกระเช้าไปด้านบน ลมแรงจนกระเช้าโยก หมอบอกทีหลังว่าเสียวน่าดู แหะๆ

ขึ้นด้านบนได้ ก็เดินไปตามทางที่เค้าจัดทำไว้อย่างดี  เลาะหน้าผาไปเรื่อยๆ มีจุดชมวิวพร้อมรั้วกันและระเบียงชมวิวเป็นระยะๆ ลมแรงมากกกกกก หนาวยะเยือกพอสมควร จุดทีเด็ดคือจุดที่มองเห็น 2 เวิ้งอ่าว อารมณ์เหมือนจุดชมวิวเกาะพีๆ เสียดายว่าวันนี้อากาศอึมครึมไปหน่อย ถ่ายรูปเลยไม่ค่อยสวย พวกเราเดินเวียนซ้าย เลาะไปตามทาง สักพักมันก็ตัดเข้าด้านในเดินผ่านสุมทุมพุ่มไม้บ้าง ช่วยบังลมได้หน่อย ไม่มีใครเดินด้วย เดินกันอยู่ 3 คนเงียบ ๆ เจ้าวัลเลอร์บี้กระโดดหยองแหยงๆตัดหน้าไปมา ธรรมชาติดีจริงๆ นกสวยๆบินว๊อบแว๊บๆให้ส่องกันตลอดทาง จนวนมาถึงด้านหลัง The Nut ก้มมองดูหน้าผาชันๆให้เสียวเล่น ก่อนจะวนกลับมาถึงจุดเริ่มต้นที่สถานีกระเช้าที่ตอนนี้ปิดแล้ว (ไหนเอ็งบอกว่ามีเวลาเดินได้ครบไง!) อ่อ...ตอนขึ้นเราต้องนั่งผ่านทางเดินลง เห็นฝรั่งวิ่งจ็อกกิ้งขึ้นมาด้วย ยังชมว่าเก่งจัง สักพักฮีมาวิ่งอยู่ในเทรลเดินของเราด้วยซ้ำ โคตรเก่งเหอะ ตอนนี้หายไปแล้ว คงลงไปก่อนเราอีก... 

แดด●ฝน●หิมะ●ลูกเห็บ●หนาวเหน็บที่ทัสมาเนีย ๑

TRIP SEPTEMBER 2012 : AUSTRALIA [MELBOURNE & TASMANIA]

Tasmania Photo Gallery @pbase Tasmania
ผุดโปรแกรมท่องเที่ยวมาแบบไม่มีที่มาที่ไปนัก แต่ขาประจำดันตอบรับคำง่ายมาก ได้ๆๆ ไปกัน เริ่มแรกจะไปเที่ยวเมืองฮิตๆแบบซิดนีย์ แคนเบอรร่า เมลเบิร์น พอหาข้อมูลแล้วรู้สึกว่าไม่น่าปลาบปลื้มเท่าไหร่นัก หาไปหามาไปเจอเจ้านี่ ทัสมาเนียบ๊ะ... เจอรีวิวไม่มากนัก แต่ก็พอจะทำให้รู้สึกอยากไปกว่าอิเมืองท็อปฮิตเยอะเลย ธรรมชาติมาก และเมืองแบบเดิมๆ เงียบๆ สงบๆ เอ่าล่ะ! ไปทัสมาเนียกัน

ทัสมาเนียเป็นเกาะอยู่ด้านใต้ของประเทศออสเตรเลีย ใกล้กับเมลเบิร์น คนจึงนิยมไปเริ่มต้นที่เมลเบิร์น จะบินไปหรือนั่งเรือสำราญข้ามคืนไปก็ได้ (บางคนก็มาจากซิดนีย์ ไกลกว่าแต่ได้เหมือนกัน) พวกเรามีเวลาไม่มากนักจึงบินตรงไปลงเมลเบิร์นแล้วต่อเครื่องไปเลย ขากลับค่อยมาแวะเที่ยวเมลเบิร์นสักหน่อยค่อยลาออสเตรเลียกลับกรุงเทพฯ

สรุปแผนท่องเที่ยวในทัสมาเนียได้ตามนี้




Day1: Bangkok – Melbourne – Hobart

วันแรกนี่เสียเวลาเดินทางเพราะเวลาไม่ค่อยดี ออกจาก BKK ดึกๆไปถึง MEL เที่ยงกว่าตามเวลาท้องถิ่น หากใจถึงควรจองเที่ยวบินต่อไปทัสมาเนีย flight บ่ายครึ่งเลย แต่พวกเราไม่อยากเสี่ยงเลยต้องเลือก flight ต่อไปเป็นบ่าย 3 กว่า (โปรแกรมแรกคิดไว้ว่าวันแรกคงเข้าในเมืองได้เที่ยงช่วงบ่ายๆก่อน รุ่งขึ้นเที่ยวเมลเบิร์นต่ออีกวัน ค่อยไปทัสมาเนียวันต่อไป จะไม่เสียเวลา แต่ด้วยเหตุผลทางเวลาและขัดข้องทางเทคนิคนิดหน่อยเลยต้องบินเลย) หะแรกว่าจะกลิ้งเกลือกรอในสนามบินแต่มันไม่มี free wifi ให้เล่น ไม่รู้จะทำอะไร เพื่อนๆเลยชวนกันจับ Taxi เข้าเมือง ไปเดินเล่นหาข้าวกินแถบ China town ดีกว่า (ไป 4 คนนั่ง Airport bus คนละ 17$ นั่ง Taxi ดีกว่าค่ะ เร็วกว่า ตกแล้วประมาณ 50-60$ ) พวกเราเลยไปเดินเฉิดฉายพร้อมกินติ่มซำมื้อแรกในเมลเบิร์น ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง ทั้งอาหาร น้ำ ขนม แต่รดชาดอร่อยดีมาก ถึงเวลากลับมาขึ้นเครื่องต่อ

เราเลือกใช้ Virgin airline บินจาก Melbourne ไป Hobart (เมืองหลวงของเกาะ Tasmania) ชาวออสออกเสียง ฮอยบาร์ทนะคะฟังดีๆ เครื่องดีเลย์ไปเป็นชม. เลยไปถึง Hobart โพล้เพล้มาก (เสียดายจริงๆวันนี้เป็นวันส.ถ้ามาได้ถึงช่วงเช้าจะดีมาก เพราะมีถนนคนเดินที่ Salamanca ซึ่งมีเฉพาะวันเสาร์ บ่ายแก่ๆก็เลิกกันหมดแล้ว) เราได้จองรถไว้ที่สนามบิน ใช้ของ Thirfty ค่ะ รถมินิแวน ใหญ่โอ่โถงนั่งสบาย เช่า 5 วันรวมๆแล้ว 400$ กว่าแต่ซื้อประกันเพิ่มเพื่อความสบายใจอีกวันละ 33$

สนามบินอยู่ไม่ไกลจากเมืองนักขับไปตามป้ายสิบห้านาทีก็ถึงเมือง ออสเตรเลียขับรถชิดซ้ายเหมือนไทย พวงมาลัยขวาเหมือนเมืองไทย ที่ไม่เหมือนไทยคือเค้าขับกันตามกฏหยุดตรงที่ให้หยุด ห้ามขับเกิน 110กม./ชม. ยกเว้นมีป้ายบอกให้ช้ากว่านั้นก็ต้องขับช้ากว่านั้น ระวังกันให้ดีค่ะไม่งั้นอาจได้รับใบเรียกเก็บค่าปรับย้อนหลังเป็นร้อยๆเหรียญนะคะ ที่พักของเราเป็น Apartment พร้อมครัว สะอาด สบายอยู่ใกล้ๆ Battery point ย่านเมืองเก่า และใกล้ Salamanca place เดินไป Alizabeth pier ก็ไม่ไกล นับว่าแจ่มมาก แถมได้ราคาโปรโมชั่นด้วย เลยอยู่มัน 2 คืน คืนนี้หาอะไรไม่ทัน ขับรถวนไปเจอร้าน Fish & Ship แถวท่าเรือเปิดอยู่ร้านเดียวเลยซัดกันริมท่าเรือนั้นแหละ ลมพัดอู้หนาวขนหัวลุก อิ่มแล้วถึงได้ไปขับรถวนหาซุปเปอร์มาเก็ต เข้าไปจัดการซื้อเสบียงอาหารจาก Coles Supermarket พร้อมซื้อไวน์กับเบียร์ไปจิบแก้หนาวด้วย ขอบอกว่าเมืองเค้าเงียบมากแค่ ทุ่มก็ปิดกันเงียบแล้ว ร้านอาหารก็ปิดไม่ดึกนะคะ

Day2 Port Arthur – Richmond

ก่อนมาเช็คพยากรณ์อากาศแล้วปวดตับ มีทั้งลมทั้งฝนทั้งหนาวงงไปหมด เช็คทุกวันเปลี่ยนทุกวัน เอากันจริงๆเช้าวันนี้แดดแจ๋ฟ้าใสกิ๊ง แฮปปี้สุดๆ จัดการอาหารเช้าฝีมือเพื่อนเก๋ ดีใจน้ำตาไหลปริ่มหนาวๆในต่างแดนได้กินข้าวต้มยามเช้าด้วย อิ่มดีก็ล้อหมุน วันนี้จะไปเที่ยว Port Arthur กัน ต้องขับรถไปประมาณ 2-3 ชม.เหมือนกันเพราะห่างไปร้อยกว่าโล แต่ถนนหนทางดี รถก็ไม่เยอะ ขับสบายๆ วิวข้างทางสุดแสนจะธรรมชาติ ชาวทัสมาเนียนเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะไปตลอด 2 ฝั่ง แวะจอดถ่ายรูปได้เรื่อยๆ วันแรกก็กรี๊ดกร๊าด (วันหลังๆจะอ้วกเป็นแกะ)  ไม่เจอคนหรอกนะ เจอแต่สัตว์ คนไปไหนกันหมดไม่รู้แฮะ 

ใช้เวลาตามที่คาดก็ไปถึง Port Arthur มีทัวร์ลงบ้าง ทั้งคันใหญ่คันเล็ก  พวกเราซื้อตั๋วแบบถูกสุดคือเข้าชมตัวอาคาร และนั่งเรือข้ามไปเกาะนักโทษแต่ไม่ลงเกาะ แค่นั่งเล่นๆเอาบรรยากาศ เค้ามีรอบที่ไกด์จะเดินพาทัวร์เล่าประวัติโน่นนี่ ถ้าไม่สนใจหรือไม่ตรงรอบก็เดินเองได้ ประวัติไปหาอ่านเอาทีหลัง เราไปพอดีรอบลุงสุดหล่อเลยเดินไปฟังแกโม้ไป จริงๆแกพูดมากเกิ๊นนน แล้วก็พาเดินแค่ด้านหน้านั่นแหละ  ที่เหลือก็เดินเองปีนป่ายเองหมด ที่นี่เคยเป็นคุกขังนักโทษ ลุงแกเล่าประวัติมากมายพร้อมเพิ่มเติมว่าไม่เกิน 10 ปีมานี้ยังมีการพาคนแล้วยิงทิ้งกันที่นี่เลย! ด้วยความที่เป็นคุก มีคนตายเยอะ มันเลยมี Ghost tour  ด้วยนะ ไม่รับประกันว่าจะเจอผีแต่มาเดินเอาบรรยากาศยามค่ำคืนฟังเรื่องผีๆจากไกด์พอพาให้มโนกันไปเองได้

พวกเราเดินเล่นไปตามอาคารต่างๆจนได้เวลาเรือ  (เค้าจะบอกว่าเราได้เรือเที่ยวกี่โมง) พวกเราก็ไปลงเรือ จะขึ้นไปยืนชมวิวด้านบนก็ได้ แต่หนาวเกินเลยมานั่งด้านใน วิวก็ไม่ได้สวยอะไรมาก เกาะก็อยู่ห่างไปไม่ไกล แต่เรือแล่นช้า เลยหลับกันซะ ปล่อยพวกซื้อทัวร์ลงเกาะแล้วเรือก็กลับ แค่นั้นเอง ช่วงลงเรือฝนเริ่มลงปรอยๆ อิแดดแจ๋ๆเมื่อเช้าไม่รู้หายไปไหน พอเราออกรถกลับ ฝนก็ลงมาจริงจัง หนักมากขึ้น ข้าวก็ยังไม่ได้กินขับไปเรื่อยเปื่อยมาถึงเมือง Sorel เลยแวะเข้าไปกิน KFC พร้อมช็อปปิ้ง Coles อีกรอบ พอฝนตกอากาศมันยิ่งหนาวจับหัวใจเข้าไปอีก

อิ่มดีช็อปปิ้งเสร็จ ฝนหยุดซะงั้น เลยตัดสินใจยังไม่กลับ Hobart ขับแยกออกไปเมือง Richmond เค้าว่ามีสะพานเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลีย พร้อมเมืองน่ารักๆ ขับแยกออกไปสัก 15-16 กม.ก็ถึง Richmond เมืองเงียบยังกะเมืองร้าง ด้วยว่าเป็นวันอาทิตย์และก็เป็นช่วงเย็นแล้ว แต่บ้านเค้าน่ารักจริงๆ บ้านทรงเดิมๆสะอาดสีสันสวยงาม เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย สะพานก็เป็นสะพานหินโค้งธรรมดา แต่บรรยากาศโดยรอบช่วยให้มันสวยงามขึ้น พร้อมแสงยามเย็นสาดลงมาเพิ่มความขลัง พวกเราเดินเล่นเมืองร้างกันสักพักก็กลับ Hobart กันไปแวะที่ท่าเรือเดินเล่นกันหน่อย เมื่อวานมาถึงมันมืดแล้ว วันนี้วันอาทิตย์ออกจะคึกคักนิดหน่อย ตามร้านต่างๆมีคนนั่งเต็ม แต่ลานและถนนก็ยังเงียบเหมือนเดิม หนาวมากเดินนานก็ไม่ไหวกลับไปทำอาหารเย็นกินกันที่ห้องดีกว่า ทำไปจิบไวน์จิบเบียร์ไป สุขใจสุดๆ วันนี้มี Salmon Salad ใส่ Rockette และมะเขือเทศ มันอร่อยมากสดมากและถูกมาก (เมื่อเทียบกับราคาเมืองไทยนะ)