Sep 18, 2012

ทุบกระปุกบุกโคเรีย ภาคจบ

Trip Dec. 2009 : Korea

ทุบกระปุกบุกโคเรียภาคจบ


Click for Korea in Winter 2009 Photo Gallery at pbase.com

*** นามิซอม เกาะแห่งรัก *** 



วันนี้กลับเข้าสู่โปรแกรมท่องเที่ยวของพวกเรา วันนี้ไปเกาะนามิ เกาะนี้ดังเมื่อหลายปีมาแล้ว เพราะเป็นสถานที่ถ่ายทำละครดัง winter love song ไม่รู้ว่าดังขนาดไหน เพราะเราไม่ได้ดู ไม่ชอบหนังรักโรแมนติกขนาดนั้น แต่ก็คงดังมากเพราะทำเป็นจุดขายของเกาะได้เลย ทัวร์ส่วนมากก็แวะมาเที่ยวกัน เกาะอยู่ห่างจากโซลไม่มากนั่งรถแค่ 1 งีบก็ถึงแล้ว แล้วต้องนั่งเรือข้ามไปเกาะอีกแป๊ปนึง ไปถึงเจอนักท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งไทยทั้งจีน จริงๆแล้วควรมาเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง มันคงจะสวยเห็นในรูปที่แกลเลอรี่บนเกาะ ไม่อย่างนั้นก็มาฤดูหนาวแบบหิมะคลุมเต็มไปเลย แต่ที่เรามาหิมะมันเพิ่งลงไม่มาก ก็เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ก็ดีที่คนไม่เยอะมากเท่าช่วงไฮซีซั่น บนเกาะสามารถเดินเที่ยวเล่นถ่ายภาพได้รอบเกาะเลย แต่จุดไฮไลต์ก็มีไม่กี่จุดหรอก เช่น แนวต้นสน มีหลายแนวเหมือนกัน รูปปั้นหรือพวกฉากจากหนัง มีบ้านโบราณ มีสวน มีสระน้ำ ถ้ามาช่วงอากาศดีๆมีเวลาเยอะ บางคนเช่าจักรยานปั่นรอบเกาะก็น่าสนุกดี

พวกเราก็เดินตามแนวต้นสนไปเรื่อยๆ ธรรมชาติสวยดีเหมือนกัน มีกระรอกวิ่งขึ้นวิ่งลงตามต้นสน มีนกกระจอกเทศที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เดินไปเดินมา เดินไปจนสุดเกาะด้านหนึ่ง ถ่ายรูปกันไปเรื่อยเปื่อยก็เดินกลับ ช่วงนี้ค่อนข้างหนาว มีหิมะตามพื้นแต่ไม่หนามาก ได้อารมณ์เย็นยะเยือกดีทีเดียว กลับออกมาก็ใกล้เที่ยง พี่ติ๊นาพาไปแวะทาน ทัคคัลบี้ ไก่ผัดซ๊อส เราว่าอร่อยดี ไก่หมักนำมาผัดกับซ็อสเค็มๆหวานๆ ใส่ผักเยอะๆ เกาหลีนี่นิยมให้คนกินมี Activity เลยให้มาผัดกันเองที่โต๊ะมีกระทะร้อนใหญ่ๆแบบทอดหอยทอดผัดกันไปควันขโมง อร่อยดีกินไก่ไปสักครึ่งกะทะเขาก็จะเอาข้าวลงมาผัดคลุกกับไก่ไปด้วย เอาไว้กินแกล้มไก่ อร่อยมากๆ ข้าวคำ ซุปคำ กิมจิคำ แซ่บสุดๆ

อิ่มแล้วก็นั่งรถกลับโซลกัน แผนวันนี้จะกลับไปแวะพระราชวังเคียงบ๊อก (Gyeongbokgung) แต่พวกเราไปถึงมันเป็นเวลาประมาณสี่โมงครึ่งเย็น เขาไม่ให้เข้าแล้ว พี่ติ๊นาแกยอมรับว่าแกลืม เพราะถ้าหน้าร้อนเขาเปิดให้เข้าได้ถึงห้าโมง ตอนนี้มันเข้าหน้าหนาวแล้ว ลืมไป...โฮ่

เลยเปลี่ยนแผนไป โซลทาวเวอร์กันแทน โซลทาวเวอร์ อยู่ที่เขานัมซาน กลางกรุงโซลเลย เหมือนประมาณเขารังกลางภูเก็ต ต้องจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเนินไปนิดหน่อย มีผู้คนเดินเล่นกันเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเกาหลี อากาศดีพอควรแต่ฟ้าไม่ค่อยเปิด พวกเราเดินมาจนถึงล็อบบี้ของโซลทาวเวอร์ พี่ติ๊นาไปซื้อตั๋วขึ้นลิฟต์ไปยอดทาวเวอร์ (ข้อเสียของการมากับทัวร์คือไม่รู้ข้อมูลไรเลย ไม่รู้ตั๋วราคาเท่าไหร่) ลิฟต์เร็วมากจากชั้นล่างสุดขึ้นไปชั้นบนสุด (สูง 240 ม.) ใช้เวลาแป๊ปเดียว ด้านบนเหมือนหอคอยชมเมืองทั่วไปคือเป็นกระจกรอบด้าน 360 องศา มองเห็นโซลได้รอบด้าน ขึ้นมาช่วงเย็นๆอย่างนี้ก็ได้บรรยากาศดี คือเห็นตั้งแต่สว่างจนค่อยๆมืด ก็จะเห็นแสงไฟในเมืองสว่างไสวเต็มไปหมด


เดินลงมาอีกชั้นออกไปด้านนอกอาคารตรงบริเวณระเบียง จะเจอรั้วกุญแจ เราเรียกอย่างนั้นเพราะรั้วเหล็กบริเวณด้านนอกเต็มไปด้วยกุญแจคล้องติดไว้ ไปหยิบดูจะมีเขียนชื่อคู่รัก คำอธิษฐาน คำสาบานรัก อะไรต่างๆ คือกลายเป็นที่นิยมของหนุ่มสาวเกาหลีไปแล้วว่าพาคู่รักขึ้นมาแล้วล็อคกุญแจด้วยกันเพื่อเป็นคำสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป พี่ติ๊นาบอกว่าใครอยากล็อคกุญแจไม่มีมา เดี๋ยวนี้หาซื้อได้ในร้านข้างใน บางคนก็เลยเดินไปซื้อมาล็อคบ้างไม่รู้เขียนชื่อตัวเองกับใคร แต่เราซิ...ล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋า เตรียมมาจากบ้าน ฮ่าๆๆ แต่ไม่บอกหรอกว่าเขียนชื่อใครลงไป

ยิ่งมืดก็ยิ่งหนาว ลมก็ยิ่งแรง ลงลิฟต์กลับมาด้านล่าง แวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ Teddy bear นิดหน่อย จริงๆน่าจะเรียกว่าร้านขาย Teddy bear มากกว่ามันไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ซะหน่อย ถ้าพิพิธภัณฑ์จริงๆมันอยู่ที่เกาะเชจูโน่น ขาเดินลงมามองกลับไปที่หอคอย ตอนนี้เปิดไฟแสงสีสวยงามสลับสีไปมา ต้องแวะถ่ายรูปอยู่หลายนาทีเลย สวยดี

อาหารเย็นวันนี้เราไปแถบอิแทวอน (Itaewon) กิน ชาบู ชาบู บวกด้วยข้าวยำเกาหลี บิบิมบับ หมูในชาบูเติมได้ไม่อั้น กินกันจนจุก ร้านแน่นมากเต็มไปด้วยทัวร์ไทย เสียงอื้ออึงคุ้นเคยมาก ออกมาหน้าร้านเจอแผงขายของที่ระลึกพวกตะเกียบ ช้อน ชาม พัด ปากกา พวกของเบ็ดเตล็ดต่างๆขายยกแผง พี่ติ๊นาบอกว่าแถบนี้ถูกและต่อราคาได้เยอะ เลยซื้อของฝากยกแผงมาบ้าง ตอนหลังพบว่าแถวนั้นมันถูกจริงๆที่อื่นแพงกว่าหมด

จากอิแทวอน พี่ติ๊นาพาไปเดินช็อปเสื้อผ้าที่ทงแดมุน (Dongdaemun) เดินที่นี่เหมือนเดินใบหยกหรือแพลตตินั่ม แต่มี 3 ตึกติดๆกัน ขายเฉพาะเสื้อผ้าอุปกรณ์แต่งตัว แต่ละตึกก็เป็นแนวต่างๆกัน ตึกแรก Doota จะเป็นแบรนด์ของเกาหลีเอง ก็ออกแบบสวยๆเยอะ ตึก 2 Miliore ตึก 3 APM จะเป็นเสื้อผ้าวัยรุ่นทั่วไป แบบขายเหมือนๆกัน ด้านนอกตึกตามริมถนนหรือในซอยระหว่างตึกก็มีขายของ เหมือนกัน ปล่อยให้เลือกเดินซื้อกันตามสะดวก ราคาก็ไม่แพง อยากซื้อบู๊ทหรือพวกเสื้อโค๊ตมาก สวยๆทั้งนั้นแต่ไม่มีปัญญาแบกกลับกระเป๋าเต็ม ครั้งหน้ามาจะเอาของมาน้อยๆมาซื้อที่นี่กลับ เครื่องกันหนาวเขาดีราคาถูก ของที่เอามาจากไทยกันหนาวขนาดบ้านเค้าไม่ได้เลย เดินกันจนดึกก็ไม่ไหวแล้ว แต่มันก็ยังไม่ปิดนะ ปิดโน่นแน่tหลังเที่ยงคืนไปอีก คนเดินกันเยอะแยะขวักไขว่ แต่พวกเราหมดแรงขอกลับไปพักซะที

*** ตะลุยโซล *** 



วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของสาวๆ 5 คน เดี๋ยวเราส่ง 5 สาวกลับ เราจะอยู่ต่ออีก 2 วัน เช้านี้เราไปเริ่มกันที่ ชองวาแด (Cheong Wa Dae) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า บลูเฮาส์ ที่เรียกบลูเฮาส์เพราะหลังคามองแล้วเป็นสีฟ้า ที่นี่เป็นที่พักของประธานธิบดีของเกาหลี ว่ากันว่าเป็นตำแหน่งที่มีฮวงจุ้ยดีที่สุดในเกาหลี มีภูเขาด้านหลังมองเผินๆรูปร่างเหมือนมักร (เขาว่างั้น) พวกเราลงไปเดินถ่ายรูปบริเวณลานอนุสาวรีย์นกฟีนิกส์ โดยมี บลูเฮาส์เป็นฉากหลัง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งในโซลเลย จึงมีนักท่องเที่ยวมาแวะไม่ขาดสาย จนท.จึงต้องเยอะไปด้วย

ถ่ายรูปกันพักนึงก็ขึ้นรถไปต่อ วันนี้มีโปรแกรมที่พลาดจากเมื่อวานคือ พระราชวังเคียงบ๊อก คราวนี้ไปกันแต่เช้าเลย เสียดายจริง วันนี้อากาศไม่ดีเอาเสียเลย ฟ้าปิดและมีฝนโปรยมาบ้าง จุดแรกที่เราไปตั้งต้นคือส่วนพิพิธภัณฑ์คติชนแห่งชาติเกาหลี ซึ่งอยู่ติดกับพระราชวัง เข้าไปชมด้านในเขาจัดได้ดีจริงๆ ส่วนที่เป็นชุดฮันบก มีชุดสวยๆเต็มไปหมด ไม่เหมือนชุดที่เราใส่ถ่ายรูปฟรีหรอก ที่นี่สวยมากๆลายงามๆทั้งนั้น แล้วก็มีประวัติชนชาติเกาหลี มีของโบราณของสำคัญๆโชว์ไว้เยอะแยะ

เดินไปจนทะลุทางออก แล้วเลี้ยวเข้าไปต่อในพระราชวัง ผู้คนเยอะแยะ ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งนักเรียนมาทัศนศึกษา พระราชวังเคียงบ๊อกนี่สร้างขึ้นในราชวงศ์โชซอน เป็นหนึ่งในห้าของพระราชวังในสมัยโชซอน ซึ่งเคียงบ๊อกกุงนี่เป็นพระราชวังหลวงและพระราชวังหลักของกษัตริย์ราชวงศ์โชซอนเลย ภายหลังราชวงศ์โชซอนล่มสลายเพราะโดนญี่ปุ่นรุกราน พระราชวังเดิมโดนญี่ปุ่นเข้ามาเผาทำลายไปเยอะ อันที่เห็นนี่คืือบูรณะใหม่สร้างใหม่แทบทั้งสิ้น เพิ่งมาได้ฟื้นฟูกันหลังเป็นอิสระภาพแต่รัฐบาลเกาหลีก็ยังไม่ได้รับรองสถาบันกษัตริย์กลับมาอย่างทางการ พวกเชื้อสายกษัตริย์ก็ยังคงมีอยู่ในพวกตระกูลลี หากใครเคยดูละครเกาหลีเรื่อง กุง (Goong) หรือเจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา ก็จะเห็นว่าเกาหลีหยิบเกร็ดนี้มาแต่งเป็นละครจินตนาการว่าหากปัจจุบันยังมีระบอบกษัตริย์อยู่ก็คงเป็นตามละครนั้น องค์ชายลีชินกับองค์หญิงแชยอง ดังระเบิดเถิดเทิงทีเดียว (จูจีฮุนและยุนอึนเฮเล่น)

แต่เราเดินดูไปแล้วก็ไม่เห็นประทับใจในตัวพระราชวังเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะอากาศไม่ดีฟ้าก็ปิดฝนก็ตก แถมหลายพื้นที่ก็ปิดซ่อม เดินไปเดินมาหลงกับพรรคพวก เดินออกผิดด้านเลยโชคดีได้เห็นแถวทหารเปลี่ยนเวรยามพอดีในช่วงใกล้เที่ยง พอน้องเจนมาตะโกนเรียกว่าพี่ออกผิดประตู จะขอกลับเข้าไปเจ้าหน้าที่หญิงไม่ให้เข้า บอกไปเอาตั๋วมาดูก่อน บ๊ะ...ไม่มีน่ะอยู่กับไกด์ ก็เห็นๆว่าเพิ่งเดินออกมา ยังไงก็ไม่ยอม พอเจ้าหน้าที่ชายมาถามเราอธิบายปุ๊ป ฮีก็โบกมือให้เข้าไปเลย จนท.หญิงหน้าง้ำเป็นนกแก้ว บอกแล้วไม่ถูกฉโลกกับผู้หญิงเกาหลี คราวตม.ก็ครั้งหนึ่งแล้วนะ...

จากพระราชวัง เรามีสถานที่ๆพวกเราอยากเห็น แม้จะอ่านข้อมูลล่าสุดว่า อย่าไปเห็นให้ช้ำใจเลย เพราะมันโทรมสุดขีด แต่เราก็ยังอยากไปเห็นอยู่ดี “Coffee Prince café’” ร้านกาแฟที่เป็นฉากในละครสุดฮิต Coffee prince หรือชื่อไทยเชยๆคือ รักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ ที่พระเอกคือกงยูขวัญใจพวกเราและนางเอกยุนอึนเฮขวัญใจหลายๆคน พี่ติ๊นาก็พยายามจะพาไปนะแต่พี่แกก็ไม่เคยไป รถไปส่งตรงตำแหน่งที่คิดว่าใช่ แล้วพวกเราต้องเดินต่อไปนิดหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าเดินกันทั้งถนน เพราะหาไม่เจอ แล้วบ้านเมืองในเกาหลีนี่มันเป็นเขานะ เป็นเนินขึ้นๆลงๆ แถมฝนดันลงปรอยๆอีก ไอ้เราก็นึกว่าลงแล้วถึงเลย เลยถอดเสื้อโค๊ตไว้บนรถ อยากถ่ายรูปเห็นเสื้อสวยๆบ้าง เลยเดินไปหนาวไป (ที่ว่าหนาวนี่ใส่ไว้ 3 ชั้นแล้วนะ)

วกวนเข้าซอยโน้นออกซอยนี้ จนในที่สุดมีคนตะโกนว่าเจอแล้ว!!! หลังจากพลพรรคทั้งหมดเดินเลยถนนแยกนั้นไปเกือบหมด เราเองยังหันกล้องไปถ่ายเนินถนนนั้นแล้วด้วยซ้ำแต่ไม่เห็น ถ้าคุณโช ไม่สังเกตเห็นคงเดินผ่านไปเลย ไปเห็นแล้วก็เป็นตามข้อมูลคือมันโทรมจนใจหาย เจ้าของที่เข้ามาบริหารไม่ทำอะไรเลย และเดี๋ยวนี้ไม่ให้เข้าไปถ่ายรุปแล้ว ต้องเข้าไปสั่งอาหารเครื่องดื่มเท่านั้น อันนี้เราเข้าใจนะ แต่เขาบอกกันว่าราคาแพงมาก และไม่อร่อย!! พวกเราจึงได้แต่ยืนถ่ายภาพด้านนอกกัน โทรมมากมาย ต้นไม้รกร้าง เศร้าใจจริงๆ เหนื่อยกับการตามล่าหาร้านกันจนหิวหน้ามืด เลยเข้ากินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารเกาหลีบริเวณนั้น เป็นร้านเหมือนแฟรนไชน์ แต่อาหารหลากหลาย นักศึกษาเยอะ ดูเมนูจิ้มๆกันไป อร่อยดี พวกข้าวหน้าต่างๆ ได้เยอะด้วย กิมจิอีกเพียบ

บ่ายสุดท้ายนี้ต้องพาสาวๆไปตระเวณเก็บของฝากอีกหน่อย คือพวกเครื่องสำอาง พี่ติ๊นาพาไปศูนย์โสมของรัฐบาลเกาหลีด้วย เหมือนว่าจะโดนบังคับต้องไปแบบเมืองจีน แต่พวกเราไม่ได้ซื้ออะไร แล้วก็ไปซื้อเครื่องสำอางที่ร้านรวมเครื่องสำอาง Meedam เก็บตกของฝากกันอีกรอบ ที่นี่เราได้รับแจกโปสเตอร์น้องจุง (KimHyunJoong) กันเพียบ หลังจากพยายามขอที่ร้านแถบเมียงดงแล้วไม่ได้เลย งกจริงๆ แลัวก็พาคุณเจลไปช็อปกระเป๋าหลุยส์ที่ Duty free shop ซึ่งเจลลี่บอกว่า หลุยส์ที่ duty free เกาหลีถูกที่สุด ถูกกว่าที่ฮ่องกงอีก อันนี้ต้องเชื่อเธอ เพราะเราไม่ได้มีความรู้เรื่องหลุยส์อะไรเลย ที่สุดท้ายที่ไปเป็นทางผ่านไปสนามบินเป็นคล้ายซุปเปอร์มาเก็ต แต่คงเปิดไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มีของที่นักท่องเที่ยวต้องการครบครันพร้อมบริการแพ็คคลงกล่องกระดาษเรียบร้อย ของที่มีก็เช่นพวก สาหร่าย บะหมี่สำเร็จรูปรสต่างๆ กูลิโกะ กิมจิ เป็นต้น ว่าไปมันอร่อยจริงๆซะด้วย กูลิโกะซองเขียวอร่อยมากถูกด้วย แต่พวก souvenirs มันแพงกว่าที่เราซื้อมาแล้ว เลยซื้อกันแต่ของกิน

ตามไปส่ง 5 สาวที่สนามบินอินชอน ลุ้นกับน้ำหนักกระเป๋าว่าจะเกินมั๊ย พี่ติ๊นาไปช่วยคุยให้ น้ำหนักที่เกินเลยได้อนุโลมไป โบกมือร่ำลากอดกันเหมือนจะจากกันแรมปีเสร็จ พวกเราที่เหลือ 3 สาวกับพี่ติ๊นาก็ไปซื้อตั๋ว Airport bus กลับเข้าเมือง ในราคาคนละ 1,4000 วอน ระบบขนส่งที่นี่เขาดีจริง Airport bus ก็มีหลายสาย คุณไปเลือกซื้อได้เลย เราเลือกสายที่ไปห้างล็อตเต้ เพราะมันอยู่ติดโรงแรมที่เราพัก นั่งไปสบายมากๆ รถติดนิดหน่อย ประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับมาถึงกลางเมือง ลงไปหาข้าวเย็นกินที่ Lotte foodcourt เหมือนเดิม วันนี้เหงาชมัดเหลือกัน 3 คน

*** เดินทางไกลไปซูวอน *** 



วันนี้ 3 สาว จะไปเมืองซูวอนกัน เราบอกไว้เลยว่าวันอยู่ต่อฉันจะไปซูวอน!! ถ้าไม่อยากไปเราไปคนเดียวได้เพราะเตรียมข้อมูลมาเยอะมาก แต่ 2 สาวบอกว่าไปด้วยไปไหนไปกัน พวกเราเลยเดินทางไกลไปซูวอนกัน การเดินทางแสนจะง่ายแต่มันไกลจัง นั่งรถไฟใต้ดิน (ซึ่งมันใต้บ้างบนบ้าง) ของเกาหลีจากสถานี City hall แถวโรงแรมเราไปถึงสถานี Suwon เป็นจำนวน 24 สถานี นั่งหลับไปชั่วโมงกว่าๆก็มาถึง เดินออกไปเจรจากับ Tourist center ให้แน่ใจอีกครั้ง หยิบแผนที่แล้วก็ออกไปขึ้นรถเมล์

นั่งไปไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้วจุดเริ่มท่องเที่ยว จะเห็นประตูเมืองใหญ่โตอยู่กลางวงเวียน เรียกว่าประตูพัลแดมุน (Paldamun) จากตรงนั้นก็ว่าจะเดินไปเที่ยว (พระราชวัง) ฮวาซองแฮกุง (HwaSeong Haeng Goong) กันก่อน ซึ่งหากว่าเดินไปตามข้อมูลที่หาเตรียมมาแต่แรกคงถึงไปนานแล้ว แต่ดันไม่มั่นใจ เลยถามคนนั้นที คนนี้ที ต่างคนต่างชี้ไปโน่นนี่ สรุปว่าเดินวนรอบวงเวียนไป 1 รอบ เฮ้อ...สรุปว่ามาตั้งต้นที่ป้ายรถเมล์เดิมแล้วเดินตามแผนผังตัวเอง ไปไม่่ไกลก็ถึงแล้ว จัดแจงซื้อตั๋วราคาแค่ 1000 วอน เข้าไปชมด้านใน เงียบสงบดีแท้ ไม่มีคนเลย ฝนดันลงปรอยๆอีกแล้ว ก็เดินเล่นชมวัง ที่วังนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครแดจังกึมด้วย เลยต้องถ่ายรูปคู่กับป้ายแดจังกึมเป็นที่ระลึกซะหน่อย

ออกจากวังมาถามเจ้าหน้าที่ถึงรถหัวมังกร ซึ่งเป็นรถลากพานักท่องเที่ยวชมรอบป้อมฮวาซอง เจ้าหน้าที่บอกว่าเพราะฝนตกรถเลยไม่วิ่ง จริงๆก็ถามที่ Tourist center มา 2 ที่แล้วเขาก็บอกเหมือนกันแต่ไม่เชื่อ เลยมาถามที่นี่อีก ยังสงสัยว่าฝนตกทำไมรถไม่วิ่ง รถไม่มีหลังคาหรือไง งงจริงๆ การจะขึ้นไปชมป้อมฮวาซอง (Hwaseong Fortress) ต้องไต่บันไดขึ้นไปตามแนวกำแพงวัง   ซึ่งเจลลี่เคยมาแล้วเลยขอตัวไม่ไป คุณเอแกเจ็บเท้าเลยไม่ไปเหมือนกัน ไอ้เราอยากไปดูมากเพราะป้อมนี่ได้เป็นมรดกโลกด้วย เลยขอตัวไปแป๊ป เดี๋ยวลงมาเจอกัน

รีบตะเกียกตะกายขึ้นไป ช่วงแรกมันก็ไม่เท่าไหร่ พอพ้นแนวรั้ววัง ก็เป็นถนนสายเล็กๆตัดผ่านหน้า งงมาก เห็นตู้ขายตั๋วรถหัวมังกรเลยไปถามอีก ฮ่าๆๆ ชีก็บอกเหมือนเดิมว่าเพราะฝนตกรถไม่วิ่ง เออ...แฮะ แต่ฝนหยุดแล้วนะตอนนี้ ไม่วิ่งก็ไม่วิ่ง เราเลยเดินข้ามถนนไปปีนเขาต่อเพื่อไปแนวป้อมด้านบน คราวนี้หอบเลยอ่ะ ต้องถอดโค๊ทกันเชียว แต่วิวด้านบนก็สวยดี มองเห็นเมืองซูวอนได้กว้างเลย แต่อากาศขมุกขมัวไปหน่อย ขึ้นไปถึงด้านบน เห็นแนวป้อมแล้วดีใจจริง เดินชมแนวป้อมไปซ้ายทีขวาที ไม่กล้าไปไกลเท่าไหร่เพราะคนข้างล่างรอ ถ้ามาคนเดียวคงเดินรอบป้อม เพราะมันเดินสบายและไม่ยาวมากเหมือนกำแพงเมืองจีนที่เราเคยเดินไปวันนึง ป้อมฮวาซองนี่บูรณะซะสวยงามทีเดียว แถมยังมีทางเดินเลาะกับแนวป้อมไปตลอด มีคนมาวิ่งออกกำลังกายด้วย ต้นไม้ร่มรื่นดีจริงๆ

เดินเล่นสักพักก็ไต่กลับลงมา เจอรถหัวมังกรจอดอยู่ แวะถามเจ้าหน้าที่อีกรอบ ชีบอกรถวิ่งแล้ว จะออกใน 5 นาที โอ้ว...คิดไตร่ตรองดูแล้วหากไต่ลงไปตาม 2 สาวลากขึ้นบันไดมา คงไม่มีทางทันใน 5 นาที สันดานเพื่อนที่ดีเลยซื้อบัตรคนเดียวนั่งรถหัวมังกรเล่นสักรอบวะ...ฮา.... ถามคนขายตั๋วว่ามันกลับมาที่เดิมนี่ใช่มั๊ย ชีพยักหน้าหงึกหงักๆ รถออกวิ่งพ่วงไป 3 ตอน แต่มีคนนั่งอยู่ไม่ถึง 10 คน รถก็มีหลังคาปกตินี่นา สงสัยกลัวว่าถนนลื่นตอนฝนตกเลยไม่วิ่ง รถพาวิ่งเลาะรอบแนวป้อมให้ชมจนรอบ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากเห็นบรรยากาศทั่วๆ จากนั้นรถยังผ่านลงไปด้านล่าง วิ่งเลียบตึกรามบ้านช่องไปลอดประตูพัลแดมุนด้วยซ้ำ อยากกระโดดลงจริงๆ แต่เขาล็อคประตูไว้ และสุดท้ายรถมาจอดที่ลานยิงธนูตรง Tourisr center ใหญ่กลางเมือง รถมันไม่กลับไปที่เดิม...อ้าว...

งงงวยอยู่พักนึง เลยเดินไปเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งหน้าพระราชวัง โฮ่...ไกลกันพอดู เจลลี่กับเอ คงรอนานมาก สงสารจริงๆ ข้าวก็ไม่ได้กิน แถวนั้นไม่มีไรเลย ขอโทษกันแล้วก็เดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ตรงพัลแดมุน นั่งรถเมล์กลับไปสถานีรถไฟ เย็นนี้เรานัดจะไปบ้านคุณตุ่น มิตรรักข้ามประเทศที่รู้จักกันผ่านเน็ต เธอเป็นสาวไทยที่ตกหลุมรักหนุ่มเกาหลีและแต่งงานมาเป็นสะใภ้เกาหลี มาถึงเกาหลีทั้งทีเราขอไปพบ นำของฝากจากเพื่อนๆหลายคนไปให้เพราะคุณตุ่นช่วยแปลภาษาเกาหลี และเขียนภาษาเกาหลีให้กับพวกเราหลายครั้ง เป็นมิตรภาพแบบไม่มีใครหวังผลตอบแทนที่น่าชื่นใจ

พอดีว่าโทรศัพท์คุณเจลดันมาแบตหมดเลยติดต่อคุณตุ่นไม่ได้อีก การเดินทางไปบ้านคุณตุ่นที่อยู่สถานี Nokyang ดูจากแผนผังรถไฟแล้วเหมือนนั่งรถจากสุไหงโกลกไปเชียงใหม่เลย คือมันอยู่คนละซีกโลก แถมต้องย้ายสายรถไฟด้วย ตอนย้ายนี่ซิมันต้องรู้ว่าจะรอขึ้นฝั่งไหน ต้องใช้ภาษามือภาษาใจกันวุ่นวาย และแล้วก็ถึงจนได้ สรุปว่าจากสถานี Suwon ไปสถานี Nokyang ใช้เวลาเดินทาง 2.5 ชั่วโมง ผ่าน 44 สถานี!!! มาทราบตอนหลังว่าคุณตุ่นเป็นห่วงพวกเรามากเพราะมาช้ากว่าเวลานัดเยอะ สามีคุณตุ่นหัวเราะเมื่อรู้ว่าพวกเราอยู่ที่ซูวอน ฮีบอกว่าคืนนี้จะถึงหรือเปล่าไม่รู้เพราะมันไกลมาก....

ในที่สุดก็ไปถึงในช่วงมืดก็สักหกโมงกว่า หิวกันไปเลย คุณตุ่นทำกับข้าวเกาหลีง่ายๆไว้ให้ทานกัน พวกเราซัดกันแบบน้องผู้หิวโหย อร่อยมากๆค่ะ สามีและลูกชายคุณตุ่นก็น่ารัก คุณสามีไปเปิดโซจูมาดื่มกัน ดีใจจังในที่สุดก็ได้ซดโซจู เพียงแต่ไม่ใช่ร้านเต๊นท์ข้างถนนเหมือนในละคร ฮ่าๆๆๆ..แถมยังไปสั่งไก่ทอดมาเพิ่มเป็นกับแกล้มพร้อมเบียร์อีก 1 ขวดลิตร (เบียร์ที่นี่มีขายเหมือนโค๊กลิตรเลย แต่จืดมาก) นั่งชนแก้วกันไปจนเริ่มมึน คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกเพราะคุณสามีได้ 2 ภาษาคือเกาหลีกับญี่ปุ่น เราก็ได้ญี่ปุ่นงูๆปลาๆนิดหน่อย เอได้ภาษาญี่ปุ่นมากหน่อย เจลลี่ได้แต่หลอกเด็กเล่นเกมส์ไป สนุกมากๆคืนนี้ กลับถึงโรงแรมสลบเหมือด

*** โซลจ๋า ลาก่อน *** 



วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว คงใช้เวลาอยู่ในโซลนี่แหละ เมื่อคืนก็ปวดหัวกับน้ำหนักกระเป๋ากันพอควร เช้านี้จัดเสร็จก็ลากลงไปชั่งน้ำหนักที่ business center ของโรงแรม น้ำ้หนักมันใกล้เคียงจะเกินซะจริงๆ พวกเครื่องสำอางน่ะหนักมาก แถมเอามาถือไม่ได้จะโดนภาษี ต้องโหลดไปอย่างเดียว แต่ละคนมีรายการฝากซื้อเครื่องสำอางกันเต็มพิกัดเป็นสิบๆขวด หนักมหาศาล เลยต้องงัดของอื่นๆออกมาใส่ถุงหิ้วกันเพียบ

จัดการข้าวของจนพอใจก็ออกไปชมเมืองสั่งลา เช้านี้เราเริ่มโดยการเดินไปดูคลองชองเกชอน (Cheonggyecheon) คลองนี้ว่าไปก็เหมือนคลองแสนแสบบ้านเราที่มันไหลผ่าเมือง และมันก็เคยดำเคยเหม็นเหมือนบ้านเรา แต่ตอนนี้เขาปรับปรุงแก้ไขน้ำได้ใสสะอาด และปรับปรุงทัศนียภาพตลอดเลียบลำคลองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เลย ช่วงกลางคืนมีแสงสีเสียงสวยงาม เสียดายไม่มีเวลามาเดินดูกลางคืน เราเริ่มเดินจากต้นทางตรงรูปปั้นหอยอันใหญ่ยักษ์ เดินเลาะลำคลองไป ยิ่งดูยิ่งเจ็บจี๊ดที่หัวใจเมื่อนึกถึงคลองแสนแสบบ้านเรา

หากจะเดินให้สุดแนวคลองที่เขาปรับปรุงคงใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ เราจึงเดินกันแค่พอซึมซับบรรยากาศก็ไต่บันไดตัดขึ้นมาที่ถนนเดินหารถไฟ เพื่อจะไปเดินตลาดนัมแดมุน (Namdaemun) กัน เจลลี่อยากไปชมเสื้อผ้าเพิ่มเติม นั่งรถไฟไปไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว ขึ้นมาเดินตลาดเสื้อผ้านัมแดมุน มันคล้ายประตูน้ำ มีเสื้อผ้าขายแบบที่เขาขนไปขายเมืองไทยกัน คนยังไม่พลุกพล่านเท่าไหร่เพราะยังเช้าอยู่ เดินๆดูไปพักหนึ่ง เราไม่สนใจซื้อของ เลยตัดสินใจขอแยกตัว ตั้้งใจไป ชางด็อกกุง (Changdeokgung) พระราชวังอีกแห่งที่น่าสนใจ มองดูอากาศวันนี้สดใสดีด้วย ฟ้าใส แดดแจ๋

ออกจากนัมแดมุนนั่งรถไฟไปลงสถานีอังกุก (Anguk) ก็ไม่กี่สถานี เดินตามแผนที่ไม่ไกลก็เจอแล้ว วังนี้เขาให้เข้าเป็นรอบๆ ต้องมีไกด์นำเดิน โชคดีที่ไปถึงพอดีมีกลุ่มกำลังจะเข้าไปเป็นไกด์ภาษาอังกฤษเลยไม่ต้องรอ พระราชวังชางด็อกกุงได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกด้วย เราว่ามีรายละเอียดสวยงามกว่าเคียงบ็อกกุงนะ เดินกับกลุ่มไปเรื่อยๆ เดินนำบ้างตามบ้าง ถ่ายรูปไปเยอะเลย เพราะวันนี้แดดดี วังก็สวย เดินไปจนถึงไฮไลต์ของวังคือ Secret garden อยู่ด้านท้ายวัง สวนลับที่ว่ามีบ่อน้ำกว้างๆและมีตำหนักขนาดย่อมอยู่ข้างๆ สมัยก่อนคงลับน่าดูคนได้เห็นคงถูกตัดคอ ตอนนี้นักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปกันรอบตำหนักเลย

ออกจากพระราชวัง เดินลัดเลาะไปตามถนนอีกไม่ไกล เพื่อไปย่านอินซาดง (Insadong) ย่านศิลปะแห่งโซล แถบนี้จะมีของสวยแบบแฮนด์เมดมาขายเพียบ ร้านรวงแถบนั้นขายของศิลปะกันเยอะแยะ คนเดินก็เป็นพวกนักศึกษา นักท่องเที่ยว ของจะราคาสูงขึ้นมานิด แต่แบบจะเก๋ไก๋ พวกตุ้มหู.แหวน.นาฬิกาน่ารักทั้งนั้นเลย เราได้แต่เดินผ่านไป เพราะเวลาใกล้หมดแล้ว เดินจนทะลุไปอีกด้านก็มองหาสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถกลับไปโรงแรม

ไปถึงโรงแรมเจลลี่กับเอนั่งรออยู่แล้วบอกว่า รถของโรงแรมที่ไปสนามบินเต็ม เราไม่ได้จองไว้ เลยต้องลากกระเป๋าออกไป รร.ล็อตเต้ข้างๆ เพราะหน้าโรงแรมเป็นจุดจอดรถ Airport bus ของ Korean air เลยต้องเสียเงิินค่ารถไปอีกคนละ 14,000 วอน แต่ก็สะดวกสบายดี รถบัสไปวนรับตามจุดจอดรับอีก 3-4 จุดก็ตรงไปสนามบิน ไปถึงก็ต้องไปคืนโทรศัพท์เช่าก่อน แล้วก็ไปเช็คอินซึ่งแถวยาวมาก กว่าจะถึงคิวนานเลย แถมโดนปรับค่าน้ำหนักเกินไปอีก เพราะมันเกินเยอะ ต่อรองกับเคาร์เตอร์สุดหล่อของโคเรียนแอร์จนฮีใจอ่อนลดให้ตั้งเยอะจากเป็นแสนวอนเหลือแค่ไม่กีหมื่นวอน สรุปว่ามารยาหญิงไทยร้อยเล่มเกวียนยังใช้ได้

เข้าไปด้านใน Duty free ที่นี่ก็มีของให้เดินดูเยอะพอควร เราได้แต่กวาดเงินที่เหลือไปซื้อ Photo book Seoul กับ Photo book Korea มาอย่างละเล่ม เพราะไม่ได้เจอสมุดภาพอย่างนี้ในเมืองเลย เข้าร้านหนังสือก็ดันลืมดู มัวแต่ไปเลือกซื้อ CD, DVD เกาหลีซะหมด เครื่องโคเรียนแอร์ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย เสียงคุยกันเซ็งแซ่ จนขึ้นเครื่อง เรา 3 คนได้นั่งด้วยกันหน้าประตูฉุกเฉินเลยยืดขาได้ เลยหลับสบายจนถึงกรุงเทพฯ เย.....

ทริปนี้สนุกดี มีหลายรดชาด และได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ และที่สุดยอดคือ เพื่อนๆที่ไปด้วยเจ๋งทุกคน!!!


สนุกสุดๆ ^^


.

.

.

หาข้อมูลเพิ่มเติม

ที่พัก


อัตราแลกเปลี่ยน (ธันวาคม 2552)
100 won : 2.93 บาท
1 $ : 34 บาท

อุณหภูมิช่วงที่ไป 5 – 12 ธันวาคม 2009
Seoul
5 dec 6,-4 mean 1 >>>> Busan 12,2 mean 8 >>> Sokcho 6,-3 mean 2
6 dec 0,-7C mean -4 >> Sokcho 2,-4 mean -1
7 dec 3,-7 mean -2
8 dec 4,-4 mean 0
9 dec 7,-2 mean 2
10 dec 8, 3 mean 6
11 dec 9,5 mean 7
12 dec 8,0 mean 4

No comments:

Post a Comment