Dec 10, 2012

แดด●ฝน●หิมะ●ลูกเห็บ●หนาวเหน็บที่ทัสมาเนีย ๒

TRIP SEPTEMBER 2012: AUSTRALIA [MELBOURNE & TASMANIA]

Tasmania Photo Gallery @pbase> Tasmania 









.....
ย้อนอ่านภาค ๑ [Day1 - Day4]
.
Day 5 : Launceston – Stanley

เช้านี้ต้องออกแต่เช้าเพื่อไปส่งเก๋ที่สนามบินเพื่อบินกลับไป Melbourne แล้วต่อเครื่องบ่ายกลับไทย เก็บข้าวของออกกันเลย แวะส่งเก๋ที่สนามบินร่ำลากันแล้ว พวกเรา 3 คนก็ขับขึ้นเหนือไปและเลาะออกตะวันตกเพื่อไปปลายทางที่เมือง Stanley เป้าหมายแรกคือเมือง Devonport หากมาทางเรือ Spirit of Tasmania จากเมลเบิร์นจะต้องมาขึ้นที่เมืองนี้ ทริปก็จะเป็นเที่ยวเหนือลงใต้ก็ได้ หรือจะมาเครื่องลง Hobart แล้วเที่ยวขึ้นเหนือกลับเรือก็ได้ค่ะ

ระหว่างทางก็ขับวนเข้าเส้น Tourist route เช่นเคย จริงๆมันคือถนนเส้นในนั่นเอง คู่ขนานกับไฮเวย์ เส้นในจะขับผ่านเมืองต่างๆได้ชมเมืองไปด้วย ชอบตรงไหนก็จอดดูได้ เราเข้าไปแวะ Devonport เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนเพราะเมื่อเช้าไม่ทำอะไรทานเลย แม่ครัวกลับ Flight เช้าขี้เกียจทำ วนเข้าไป McDonald กันมื้อนี้เพราะทุกคนจะได้ใช้ Free wifi ด้วย ขาดการติดต่อโลกภายนอกกันมาหลายวัน ไหนจะข่าวไหนจะงาน ถือโอกาสเช็คเมล์ไปด้วย

อิ่มแล้วออกเดินทางต่อ เรายังคงใช้ tourist route ช่วงต่อจากนี้จะเป็นถนนเลียบทะเล อากาศไม่แจ่มนัก ฟ้าปิดแต่ก็ถือว่าโอเค ฝนไม่ตก ขับไปถึงเมือง Penguin ต้องขอแวะเพราะเจ้าเพนกวินยักษ์ยืนยิ้มเผล่อยู่ริมหาด (เราตัดโปรแกรมไปดูเพนกวินเดินกลับรังที่ Low head ออก เพราะเมื่อวานขี้เกียจแล้ว เหนื่อยด้วย มันต้องขับรถออกจาก Launceston ไป Low head อีกเป็น 100 กิโล ดูเสร็จมืดๆขับกลับมานอน Launceston อีก เลยไม่ไปล่ะ) เมืองนี้น่ารักดี ไม่ได้มีเพนกวิน แค่มีชื่อเพนกวิน แวะเข้า Tourist information เพื่อซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ได้คุยกับป้า cashier ป้าใจดีมากช่วยเหลือสุดๆ พร้อมเอาแผนที่มากางชี้ว่า จากนี้ไปเธอต้องแวะที่ Wynyard นะ must see เลยนะเธอ ป้าแนะนำ 2 จุดคือ Table Cape มันมี Tulip field  ป้าย้ำนักหนาว่าต้องแวะๆๆ และอีกที่คือ Boat Harbor Beach ป้าว่ามันสวยมว๊ากกกก เมื่อคืนเราก็อ่านโลกโดดเดี่ยวมา เจอเหมือนกันว่าช่วงปลายเดือนกันยาถึงต้นเดือนตุลาจะเป็นเทศกาลดอกทิวลิป ยิ่งป้ามากำชับด้วยแล้ว เราคงต้องแวะ แม้ไม่อยู่ในโปรแกรม!

ออกจาก Penguin ขับตามถนนเส้นในไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึง Wynyard อากาศก็อึมครึมอยู่อย่างนั้น ลมพัดแรงมากๆ ยิ่งตอนขับรถไปทาง Table cape นั่นจะต้องขึ้นเนินเขาไปนิดหน่อย และใกล้ชายฝั่ง ยิ่งลมแรงใหญ่ สังเกตป้ายจะมี Tulip festival เขียนไว้ จึงมั่นใจขับไปเรื่อยๆ สักพักก็เห็นป้ายชี้ว่า Tulip farm รีบเลี้ยวรถเข้าไปทันใจ โอ้ว...มีทิวลิปเป็นทุ่งจริงๆ แต่ไม่แน่นมาก บางแนวยังไม่บานเลย ที่นี่เป็นฟาร์มเอกชน มีป้ายบอกว่า ค่าบำรุงสถานที่คนละ 5AUD แต่ก็ไม่มีคนเฝ้าคนเก็บเงิน สาววิ่งลงแปลงดอกไม้ทันที ทั้งๆที่หนาวจับใจ แต่ไม่แน่ใจอากาศที่ทัสมาเนียเลย กลัวฝนลงเลยรีบวิ่งไปชมก่อน 1 หนุ่มเลยเดินไปจ่ายเงินให้ในเคาเตอร์ด้านใน มาคราวนี้ได้รู้จักทิวลิปหลายแบบหลายพันธ์ บางดอกก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นทิวลิป ยิ่งพอเข้าไปด้านใน เค้าจะติดป้ายชื่อพันธ์ต่างๆไว้ด้วย ใครชอบมากๆเค้ามีตัดดอกขายด้วย

จากที่ฟาร์มนี้มองไปจะเห็น light house สีขาวๆอยู่ไม่ไกลนัก คงเป็น Table cape light house ไม่น่าไกลจากตรงนี้ ตัดสินใจขับรถต่อไปตามป้าย เลี้ยวซ้าย 1 ที เลี้ยวขวาอีก 1 ที โอ้ว....แม่เจ้า ด้านหน้า Light house มีทุ่งทิวลิปใหญ่โตสีสันสวยงาม ให้ได้ถ่ายรูปกันสบายๆ ถึงจะล้อมรั้วไว้ แต่ก็เปิดประตูไว้เลย ไม่มีคนไม่มีใคร ดอกก็ออกเต็มสวยงาม ถ่ายได้เลย พร้อม Lighthouse เป็นฉากหลัง ดังนั้นใครมาก็ให้พุ่งตรงมาที่ประภาคารเลยนะ ไม่ต้องแวะที่อื่น ดูตามโปสการ์ดแล้ว หากขึ้นไปบนยอดประภาคาร (เสีย 7AUD) มองลงมาจะเห็นทุ่งทิวลิปเต็มไปทั้งหมดสวยงามมาก แต่ช่วงนี้มองไปโดยรอบ ยังเห็นไถหว่านกันอยู่เลย คงไม่คุ้มที่จะขึ้น เลยถ่ายรูปกันที่ทุ่งนี้อีกพักก็รีบออกเดินทางต่อ (หนังสือนำเที่ยวก็บอกให้มาดูทวิลิปที่ Table cape นี่ แต่เราใจเร็วเจอป้ายก็รีบเลี้ยว เลยเจอของเอกชนนะ)

ด้วยว่าอากาศมัวซัว เราเลยตัดสินใจไม่แวะ Beach ที่ป้าสั่งเพราะคงไม่สวยนัก และเรายังต้องไปอีก 30-40 กม. เพื่อให้ถึง Stanley จะได้ขึ้น The Nuts ได้ทันก่อน Cable car ปิดตอน 4 โมงเย็น พลขับเหยียบไปเต็มลิมิต เราก็มาถึง Stanley ในเวลาใกล้เคียง 4 โมงเย็น มองเห็น The Nut ตั้งแต่ยังไม่เลี้ยวแยกเข้าเมือง รีบหาทางไปที่สถานีเคเบิ้ลก่อนลุ้นว่าให้ทัน ก็ทันจริงๆเพราะเค้าติดป้ายว่าปิด 16.30 ไม่ใช่ 16.00 ตามที่โลกโดดเดี่ยวบอก แต่มันก็ขึ้นกับช่วงฤดูด้วยน่ะแหละ ลงจากรถก็ต้องกลับขึ้นรถทันทีไปงัดอุปกรณ์กันหนาวเพิ่ม เพราะลมแรงหนาวจริงๆจังๆ ซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ซึ่งเค้าถามว่าจะเอาเที่ยวเดียวหรือไปกลับ ขากลับเที่ยวสุดท้ายคือ 17.30 นับจากตอนนี้ก็ประมาณ 45 นาที ยูมีเวลาเดินสำรวจด้านบนได้ทั่วแหละ หลังจากพิจารณาแล้ว The Nuts มันไม่ได้สูงมาก ทางเดินก็เห็นเป็นทางปูนสะดวกสบาย เราเลยเลือกที่จะเดินลง จัดแจงจ่ายเงินแล้วขึ้นกระเช้าไปด้านบน ลมแรงจนกระเช้าโยก หมอบอกทีหลังว่าเสียวน่าดู แหะๆ

ขึ้นด้านบนได้ ก็เดินไปตามทางที่เค้าจัดทำไว้อย่างดี  เลาะหน้าผาไปเรื่อยๆ มีจุดชมวิวพร้อมรั้วกันและระเบียงชมวิวเป็นระยะๆ ลมแรงมากกกกกก หนาวยะเยือกพอสมควร จุดทีเด็ดคือจุดที่มองเห็น 2 เวิ้งอ่าว อารมณ์เหมือนจุดชมวิวเกาะพีๆ เสียดายว่าวันนี้อากาศอึมครึมไปหน่อย ถ่ายรูปเลยไม่ค่อยสวย พวกเราเดินเวียนซ้าย เลาะไปตามทาง สักพักมันก็ตัดเข้าด้านในเดินผ่านสุมทุมพุ่มไม้บ้าง ช่วยบังลมได้หน่อย ไม่มีใครเดินด้วย เดินกันอยู่ 3 คนเงียบ ๆ เจ้าวัลเลอร์บี้กระโดดหยองแหยงๆตัดหน้าไปมา ธรรมชาติดีจริงๆ นกสวยๆบินว๊อบแว๊บๆให้ส่องกันตลอดทาง จนวนมาถึงด้านหลัง The Nut ก้มมองดูหน้าผาชันๆให้เสียวเล่น ก่อนจะวนกลับมาถึงจุดเริ่มต้นที่สถานีกระเช้าที่ตอนนี้ปิดแล้ว (ไหนเอ็งบอกว่ามีเวลาเดินได้ครบไง!) อ่อ...ตอนขึ้นเราต้องนั่งผ่านทางเดินลง เห็นฝรั่งวิ่งจ็อกกิ้งขึ้นมาด้วย ยังชมว่าเก่งจัง สักพักฮีมาวิ่งอยู่ในเทรลเดินของเราด้วยซ้ำ โคตรเก่งเหอะ ตอนนี้หายไปแล้ว คงลงไปก่อนเราอีก... 

แดด●ฝน●หิมะ●ลูกเห็บ●หนาวเหน็บที่ทัสมาเนีย ๑

TRIP SEPTEMBER 2012 : AUSTRALIA [MELBOURNE & TASMANIA]

Tasmania Photo Gallery @pbase Tasmania
ผุดโปรแกรมท่องเที่ยวมาแบบไม่มีที่มาที่ไปนัก แต่ขาประจำดันตอบรับคำง่ายมาก ได้ๆๆ ไปกัน เริ่มแรกจะไปเที่ยวเมืองฮิตๆแบบซิดนีย์ แคนเบอรร่า เมลเบิร์น พอหาข้อมูลแล้วรู้สึกว่าไม่น่าปลาบปลื้มเท่าไหร่นัก หาไปหามาไปเจอเจ้านี่ ทัสมาเนียบ๊ะ... เจอรีวิวไม่มากนัก แต่ก็พอจะทำให้รู้สึกอยากไปกว่าอิเมืองท็อปฮิตเยอะเลย ธรรมชาติมาก และเมืองแบบเดิมๆ เงียบๆ สงบๆ เอ่าล่ะ! ไปทัสมาเนียกัน

ทัสมาเนียเป็นเกาะอยู่ด้านใต้ของประเทศออสเตรเลีย ใกล้กับเมลเบิร์น คนจึงนิยมไปเริ่มต้นที่เมลเบิร์น จะบินไปหรือนั่งเรือสำราญข้ามคืนไปก็ได้ (บางคนก็มาจากซิดนีย์ ไกลกว่าแต่ได้เหมือนกัน) พวกเรามีเวลาไม่มากนักจึงบินตรงไปลงเมลเบิร์นแล้วต่อเครื่องไปเลย ขากลับค่อยมาแวะเที่ยวเมลเบิร์นสักหน่อยค่อยลาออสเตรเลียกลับกรุงเทพฯ

สรุปแผนท่องเที่ยวในทัสมาเนียได้ตามนี้




Day1: Bangkok – Melbourne – Hobart

วันแรกนี่เสียเวลาเดินทางเพราะเวลาไม่ค่อยดี ออกจาก BKK ดึกๆไปถึง MEL เที่ยงกว่าตามเวลาท้องถิ่น หากใจถึงควรจองเที่ยวบินต่อไปทัสมาเนีย flight บ่ายครึ่งเลย แต่พวกเราไม่อยากเสี่ยงเลยต้องเลือก flight ต่อไปเป็นบ่าย 3 กว่า (โปรแกรมแรกคิดไว้ว่าวันแรกคงเข้าในเมืองได้เที่ยงช่วงบ่ายๆก่อน รุ่งขึ้นเที่ยวเมลเบิร์นต่ออีกวัน ค่อยไปทัสมาเนียวันต่อไป จะไม่เสียเวลา แต่ด้วยเหตุผลทางเวลาและขัดข้องทางเทคนิคนิดหน่อยเลยต้องบินเลย) หะแรกว่าจะกลิ้งเกลือกรอในสนามบินแต่มันไม่มี free wifi ให้เล่น ไม่รู้จะทำอะไร เพื่อนๆเลยชวนกันจับ Taxi เข้าเมือง ไปเดินเล่นหาข้าวกินแถบ China town ดีกว่า (ไป 4 คนนั่ง Airport bus คนละ 17$ นั่ง Taxi ดีกว่าค่ะ เร็วกว่า ตกแล้วประมาณ 50-60$ ) พวกเราเลยไปเดินเฉิดฉายพร้อมกินติ่มซำมื้อแรกในเมลเบิร์น ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง ทั้งอาหาร น้ำ ขนม แต่รดชาดอร่อยดีมาก ถึงเวลากลับมาขึ้นเครื่องต่อ

เราเลือกใช้ Virgin airline บินจาก Melbourne ไป Hobart (เมืองหลวงของเกาะ Tasmania) ชาวออสออกเสียง ฮอยบาร์ทนะคะฟังดีๆ เครื่องดีเลย์ไปเป็นชม. เลยไปถึง Hobart โพล้เพล้มาก (เสียดายจริงๆวันนี้เป็นวันส.ถ้ามาได้ถึงช่วงเช้าจะดีมาก เพราะมีถนนคนเดินที่ Salamanca ซึ่งมีเฉพาะวันเสาร์ บ่ายแก่ๆก็เลิกกันหมดแล้ว) เราได้จองรถไว้ที่สนามบิน ใช้ของ Thirfty ค่ะ รถมินิแวน ใหญ่โอ่โถงนั่งสบาย เช่า 5 วันรวมๆแล้ว 400$ กว่าแต่ซื้อประกันเพิ่มเพื่อความสบายใจอีกวันละ 33$

สนามบินอยู่ไม่ไกลจากเมืองนักขับไปตามป้ายสิบห้านาทีก็ถึงเมือง ออสเตรเลียขับรถชิดซ้ายเหมือนไทย พวงมาลัยขวาเหมือนเมืองไทย ที่ไม่เหมือนไทยคือเค้าขับกันตามกฏหยุดตรงที่ให้หยุด ห้ามขับเกิน 110กม./ชม. ยกเว้นมีป้ายบอกให้ช้ากว่านั้นก็ต้องขับช้ากว่านั้น ระวังกันให้ดีค่ะไม่งั้นอาจได้รับใบเรียกเก็บค่าปรับย้อนหลังเป็นร้อยๆเหรียญนะคะ ที่พักของเราเป็น Apartment พร้อมครัว สะอาด สบายอยู่ใกล้ๆ Battery point ย่านเมืองเก่า และใกล้ Salamanca place เดินไป Alizabeth pier ก็ไม่ไกล นับว่าแจ่มมาก แถมได้ราคาโปรโมชั่นด้วย เลยอยู่มัน 2 คืน คืนนี้หาอะไรไม่ทัน ขับรถวนไปเจอร้าน Fish & Ship แถวท่าเรือเปิดอยู่ร้านเดียวเลยซัดกันริมท่าเรือนั้นแหละ ลมพัดอู้หนาวขนหัวลุก อิ่มแล้วถึงได้ไปขับรถวนหาซุปเปอร์มาเก็ต เข้าไปจัดการซื้อเสบียงอาหารจาก Coles Supermarket พร้อมซื้อไวน์กับเบียร์ไปจิบแก้หนาวด้วย ขอบอกว่าเมืองเค้าเงียบมากแค่ ทุ่มก็ปิดกันเงียบแล้ว ร้านอาหารก็ปิดไม่ดึกนะคะ

Day2 Port Arthur – Richmond

ก่อนมาเช็คพยากรณ์อากาศแล้วปวดตับ มีทั้งลมทั้งฝนทั้งหนาวงงไปหมด เช็คทุกวันเปลี่ยนทุกวัน เอากันจริงๆเช้าวันนี้แดดแจ๋ฟ้าใสกิ๊ง แฮปปี้สุดๆ จัดการอาหารเช้าฝีมือเพื่อนเก๋ ดีใจน้ำตาไหลปริ่มหนาวๆในต่างแดนได้กินข้าวต้มยามเช้าด้วย อิ่มดีก็ล้อหมุน วันนี้จะไปเที่ยว Port Arthur กัน ต้องขับรถไปประมาณ 2-3 ชม.เหมือนกันเพราะห่างไปร้อยกว่าโล แต่ถนนหนทางดี รถก็ไม่เยอะ ขับสบายๆ วิวข้างทางสุดแสนจะธรรมชาติ ชาวทัสมาเนียนเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะไปตลอด 2 ฝั่ง แวะจอดถ่ายรูปได้เรื่อยๆ วันแรกก็กรี๊ดกร๊าด (วันหลังๆจะอ้วกเป็นแกะ)  ไม่เจอคนหรอกนะ เจอแต่สัตว์ คนไปไหนกันหมดไม่รู้แฮะ 

ใช้เวลาตามที่คาดก็ไปถึง Port Arthur มีทัวร์ลงบ้าง ทั้งคันใหญ่คันเล็ก  พวกเราซื้อตั๋วแบบถูกสุดคือเข้าชมตัวอาคาร และนั่งเรือข้ามไปเกาะนักโทษแต่ไม่ลงเกาะ แค่นั่งเล่นๆเอาบรรยากาศ เค้ามีรอบที่ไกด์จะเดินพาทัวร์เล่าประวัติโน่นนี่ ถ้าไม่สนใจหรือไม่ตรงรอบก็เดินเองได้ ประวัติไปหาอ่านเอาทีหลัง เราไปพอดีรอบลุงสุดหล่อเลยเดินไปฟังแกโม้ไป จริงๆแกพูดมากเกิ๊นนน แล้วก็พาเดินแค่ด้านหน้านั่นแหละ  ที่เหลือก็เดินเองปีนป่ายเองหมด ที่นี่เคยเป็นคุกขังนักโทษ ลุงแกเล่าประวัติมากมายพร้อมเพิ่มเติมว่าไม่เกิน 10 ปีมานี้ยังมีการพาคนแล้วยิงทิ้งกันที่นี่เลย! ด้วยความที่เป็นคุก มีคนตายเยอะ มันเลยมี Ghost tour  ด้วยนะ ไม่รับประกันว่าจะเจอผีแต่มาเดินเอาบรรยากาศยามค่ำคืนฟังเรื่องผีๆจากไกด์พอพาให้มโนกันไปเองได้

พวกเราเดินเล่นไปตามอาคารต่างๆจนได้เวลาเรือ  (เค้าจะบอกว่าเราได้เรือเที่ยวกี่โมง) พวกเราก็ไปลงเรือ จะขึ้นไปยืนชมวิวด้านบนก็ได้ แต่หนาวเกินเลยมานั่งด้านใน วิวก็ไม่ได้สวยอะไรมาก เกาะก็อยู่ห่างไปไม่ไกล แต่เรือแล่นช้า เลยหลับกันซะ ปล่อยพวกซื้อทัวร์ลงเกาะแล้วเรือก็กลับ แค่นั้นเอง ช่วงลงเรือฝนเริ่มลงปรอยๆ อิแดดแจ๋ๆเมื่อเช้าไม่รู้หายไปไหน พอเราออกรถกลับ ฝนก็ลงมาจริงจัง หนักมากขึ้น ข้าวก็ยังไม่ได้กินขับไปเรื่อยเปื่อยมาถึงเมือง Sorel เลยแวะเข้าไปกิน KFC พร้อมช็อปปิ้ง Coles อีกรอบ พอฝนตกอากาศมันยิ่งหนาวจับหัวใจเข้าไปอีก

อิ่มดีช็อปปิ้งเสร็จ ฝนหยุดซะงั้น เลยตัดสินใจยังไม่กลับ Hobart ขับแยกออกไปเมือง Richmond เค้าว่ามีสะพานเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของออสเตรเลีย พร้อมเมืองน่ารักๆ ขับแยกออกไปสัก 15-16 กม.ก็ถึง Richmond เมืองเงียบยังกะเมืองร้าง ด้วยว่าเป็นวันอาทิตย์และก็เป็นช่วงเย็นแล้ว แต่บ้านเค้าน่ารักจริงๆ บ้านทรงเดิมๆสะอาดสีสันสวยงาม เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย สะพานก็เป็นสะพานหินโค้งธรรมดา แต่บรรยากาศโดยรอบช่วยให้มันสวยงามขึ้น พร้อมแสงยามเย็นสาดลงมาเพิ่มความขลัง พวกเราเดินเล่นเมืองร้างกันสักพักก็กลับ Hobart กันไปแวะที่ท่าเรือเดินเล่นกันหน่อย เมื่อวานมาถึงมันมืดแล้ว วันนี้วันอาทิตย์ออกจะคึกคักนิดหน่อย ตามร้านต่างๆมีคนนั่งเต็ม แต่ลานและถนนก็ยังเงียบเหมือนเดิม หนาวมากเดินนานก็ไม่ไหวกลับไปทำอาหารเย็นกินกันที่ห้องดีกว่า ทำไปจิบไวน์จิบเบียร์ไป สุขใจสุดๆ วันนี้มี Salmon Salad ใส่ Rockette และมะเขือเทศ มันอร่อยมากสดมากและถูกมาก (เมื่อเทียบกับราคาเมืองไทยนะ)

Oct 18, 2012

ตะลุยไร่ชาพร้อมพาไปชินชอน

TRIP: MAY 2012 - KOREA

Korea 2012 Photo gallery at pbase.com > http://www.pbase.com/ton_manuswee/korea_2012

ไปเกาหลีมาเดือนก่อน... เริ่มร้อนแล้วแต่ยังไม่มากก็กำลังดี กลางวันแดดแจ๋แต่ลมเย็น

ตกเย็นหนาวหน่อยๆ เดินเล่นสบายดี ไม่ร้อนมากไม่หนาวมาก
ไปคราวนี้ ได้เที่ยวที่แปลกๆบ้าง นั่งรถไฟ นั่งรถบัส นั่งแท็กซี่มึนตรึ๊บ
ขอบอกว่ารถไฟ รถบัส ของเค้าตรงเวลามาก อย่าได้โอ้เอ้ ตกกันเห็นๆได้เลย


2-3 วันแรกอยู่ในโซล เย็นวันนึงไปดูแสงสีเสียงที่สะพานบันโพกัน ต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปลง Dongjak station จากนั้นเดิน ไกลอยู่ มองหาป้ายเดินไปเรื่อยๆ


เวลาจะไปชมก็ตามนี้โดยประมาณ
Operating Hours
April-October (Operating hours may vary by month)
※ April-June (2012)
* Weekdays: 12:00, 20:00, 21:00 (15min)
* Weekends: 12:00, 17:00, 20:00, 20:30, 21:00, 21:30 (15min)

หรือไปดูที่ > http://www.visitkorea.or.kr/enu/SI/SI_EN_3_1_1_1.jsp?cid=1011983 นอกจากแสงสีเสียงที่สะพานแล้ว ก็มีอิตึกลอยน่ำนี่อีก ประดับไฟสีสวยดี คนไปเดินเล่นถ่ายรูปกันเยอะ ไม่รู้พวกทัวร์จะพามามั๊ย ถ้าว่างๆก็มาเดินเล่นได้  อิตึกลอยน้ำอยู่ด้านซ้ายของสะพาน ดูแสงสีต้องมาดูด้านขวา หาขนมหาน้ำมานั่งดูไปฟังเพลงไป ชิลๆ ค่ะ ไม่มีไรมาก ถ้ามีคู่เอาคู่ไปด้วย เพราะคนอื่นมันมาเป็นคู่ๆเต็มเลยยยยยย


ไปกินติ่มซำเจ้าดังที่ฮ่องกงกันเถอะ

TRIP: JAN.2012 – HONGKONG


ไปฮ่องกง...อีกแล้วพี่น้อง

     ไปฮ่องกงแบบไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว ปุบปับไป เก็บผ้าหนีตามเจ้าเติ้ลไป ไปสมทบกับพี่อ้อพี่เต่า นอนเบียดกันในห้องรร. เพราะรร.ในฮ่องกงนี่มันเล็กมากกกกกก เล็กจริงๆ แต่ก็ดีประหยัดดี งวดนี้ได้ไปที่แปลกบ้างคือ Snoopy world! นั่งกะเช้า Ngongping ไปไหว้พระใหญ่! (เค้าไปกันมานานแล้วซินะ ฉันเพิ่งเคยไป)

     เรานั่งรถบัสจากสนามบินไป TungChung แล้วต่อ MRT เข้าไปย่าน Yao Ma Tei พี่เต่าจองห้องไว้ที่ Wing Sing Hotel มันก็เล็กอย่างที่บอก แต่ก็สะดวกใช้ได้ อยู่ใกล้สถานีรถใต้ดิน เดินออกมานิดเดียว แถมยังมีร้านขายข้าวมันไก่ ขายโจ๊กอยู่ปากซอยเปิดแต่เช้า ตอนดึกๆกลับมาก็มีร้านขายของทอด มีร้านขายหม้อไฟอยู่ตรงข้ามรร.เลยด้วย ซดกันร้อนๆก่อนนอนได้ (วิธีเดินทางเข้าเมืองแบบละเอียดหน่อยไปดูทริปปีก่อนเลยค่ะ  > Hongkong 2011

     วันแรกกว่าจะมาถึงก็บ่ายแล้ว ทำโน่นๆทำนี่ ก็ต้องรีบบึ่งไป Asia World Expo เพื่อไปดูคอนฯ ต้องนั่งรถไฟย้อนกลับไป TungChung แล้วต่อรถรับส่งไป อากาศก็แสนจะหนาว ลมก็แรง ใครไปที่นี่ช่วงหนาวๆเตรียมเสื้อหนาวไปหนาๆนะคะ อิตอนรันคิวจะเข้าฮอลล์นี่ทรมานสุดเหอะ ให้ยืนคิวด้านนอก กว่าจะตรวจโน่นนี่จะแข็งตาย จบคอนฯคืนแรก กลับโรงแรมซื้อของทอดหน้าปากซอยไปกินเพราะหมดแรง

     วันรุ่งขึ้น เราต้องไม่กินอยู่อย่างอนาถานะคะ เลยจัดแจงจับรถไฟไปกินติ่มซำที่เค้าว่าสุดยอดของฮ่องกงที่ร้าน Maxim เมื่อวานพยายามจะให้คนฮ่องกงจองให้ แต่วันส.-อา.ไม่รับจอง มันว่าให้ walk in ไป แต่ควรไปเร็วหน่อย เอาวะ ลองดู วิธีไปก็ไม่ยากค่ะ นั่งรถไฟไปลงสถานี Shatin มองป้ายเอาว่าไป New Town Plaza ออก Exit ไหน (คือไม่ยากนะ ต่อสายรถไฟกะออก exit ไหน ลองพยายามดู เมืองไทยก็มีรถไฟฟ้าแล้วนะ) เดินไปถึง New Town Plaza ขึ้นไปชั้น 8 ค่ะ ร้าน Maxim นี่ไปเกือบทั้งชั้นนะ ต้องไปลงคิวบอกเค้าว่ากี่คนๆเค้าจะให้คิวมา อาจจะตกใจหน่อยเพราะคนมากมายมหาศาล คิวเลขเป็นร้อยๆ แต่ด้วยว่าโต๊ะเยอะมาก และเค้าก็กินกันไม่เยิ่นเย้อ ถ้าไปไม่เยอะคน ก็รอไม่นานมาก แต่อย่างต่ำน่าจะเกินครึ่งชม. แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ ลงคิวไว้ แล้วเราลงไปเดินเที่ยว Snoopy World ที่ชั้น 3 ค่ะ

     Snoopy World นี่มันคือสวนสนุกสวนเด็กเล่นขนาดย่อมๆค่ะ ไม่ใหญ่โตอะไร แต่มันน่ารักดีนะคะ ผู้ใหญ่ก็ลงไปถ่ายรูปเล่นได้ค่ะ ไม่เสียค่าเข้า เครื่องเล่นมีแค่รถรางสำหรับเด็กเล็ก แล้วก็พวกเครื่องเล่นแบบสนามเด็กเล่น แต่มันมี snoopy / charlie brown / นกหัวขวาน ครบทีมเลย จัดได้น่ารักดี เดินเล่นแย่งเด็กๆถ่ายรูป ฆ่าเวลารอ Maxim ได้ดีเลย ถ่ายรูปเล่นสักพักก็กลับไปดูคิวนะคะ ถ้ายังไม่ถึงก็เดินช็อปเล่นในห้างได้ มีร้านให้ช็อปเยอะมากกกกก แต่ผลัดกันเฝ้าคิวก็ดี เพราะคิวมันไปไวพอควรนะคะ อย่าเราเห็นเลขคิวรออีก 50-60 คิว เอาจริงๆ รอไม่เกินชม.เองค่ะ ดังนั้นอย่าไปตอนหิวมาก จะรอไม่ไหว 555


Oct 17, 2012

คืนข้ามปีที่จอร์แดน

TRIP NEW YEAR 2012 : JORDAN  

ผ่านเดือนมหาวิปโยคมาได้ ต้องมาขัดล้างบ้านอยู่ 3 อาทิตย์ โคตรเบื่อ เลยชวนกันไปเที่ยวไหนไกลๆดีกว่า
เหนื่อยที่จะคิดจะทำโน่นนี่เองก็พึ่งทัวร์ละกัน กดไปดูเวปบ.ทัวร์เก่าที่เคยใช้บริการ เห็นมีโปรแกรมจอร์แดน 2 ที่สุดท้าย จริงเปล่าไม่รู้ เอาๆๆไปอันนี้ล่ะ
ไอ้ที่ห่วงคือวีซ่า ดีว่าจอร์แดนเป็น Visa on arrival นะ เพราะคิดจะไปตอนวันที่ 24 แล้วบิน 29 เลย ฮ่าๆๆๆ ทัวร์ทำได้
เช็คอุณหภูมิดูก็หนาวนะ ต่ำกว่า 15 ทุกวัน เออเว๊ย....ดีเหมือนกัน กรุงเทพฯมันร้อนแล้ว ไปหาหนาวแก้เซ็งดีกว่า


Jordan photo gallery @pbase >>http://www.pbase.com/ton_manuswee/jordan



WJORDAN

     29 ธันวาคม 2554 วันพฤหัสเช้ามืดก็ถึงสนามบิน ไม่ต้องทำอะไรเลยสบายจัง รับตั๋วแล้วไปเจอกันที่ gate เลยตอน 7.30 วันนี้บิน QATA เจ้าเดิม บ.นี้ชอบใช้การ์ตาจัง แต่ตามโปรแกรมที่อ่านตอนแรกเป็น Atihad นะ เค้าว่าดีเสียดายไม่ได้ลองสักที

     QR613 ไม่ดีเลย์ ออกจากกรุงเทพฯเวลา 08.30น. นั่งสัปหงกไปสัก 7 ชม. ก็ถึงโดฮา ลงไปเดินเปลี่ยนเครื่องแก้เมื่อยนั่งอีก 3 ชม. ก็ถึง Queen Alia International Airport, Amman  ก็นานเหมือนกันนะเนี่ยเดินทาง 10 ชม. อากาศที่อัมมานไม่หนาวจัดแต่ต้องใส่เสื้อหนาวค่ะ คาดว่าประมาณ 10 ต้นๆ วีซ่าทำง่ายมากคือไม่ต้องทำอะไรมีไกด์แลนด์มารับพาสปอร์ตไปทำให้หมด สบายจริง เลยเดินไปแลกเงินซะหน่อย วันนั้นได้เรท 100$ : 70JD แถมโดนหักค่ะธรรมเนียมไป 2JD แน่ะ ยังไม่รู้ราคาค่าครองชีพเลยแลกไปร้อยเดียวก่อน รับกระเป๋าเสร็จออกกันมาขึ้นบัสมุ่งหน้าไป Dead Sea วันนี้จะนอน Dead Sea Spa ตั้งความหวังไว้อย่างหรูว่าไปถึงบ่ายแก่ ลงไปลอยทะเลเล่น ค่อยอาบน้ำ (ในโปรแกรมก็เขียนอย่างนี้แหละ) ที่ไหนได้กว่ารถจะไปถึงที่พัก พระอาทิตย์ก็ลาโรงพอดี ทั้งๆที่เดดซีอยู่ห่างจากอัมมานไม่เท่าไหร่ นั่งรถไปชม.กว่าๆเอง แต่หน้าหนาวอย่างนี้ ห้าโมงเย็นก็มืดแล้ว ยิ่งมืดก็ยิ่งเย็นซิ กว่าจะได้กุญแจห้องมองไม่เห็นทะเลซะแล้ว เลยขึ้นห้องพักผ่อนแล้วลงมาซัดบุฟเฟต์ อาหารใช้ได้นะ มีแกะแทบทุกมื้อโชคดีว่ากินได้เลยไม่มีปัญหา เสร็จอาหารเย็นตั้งแต่หัวค่ำ ไม่รู้จะทำอะไร เลยออกไปนั่งรับลมหนาวพร้อมจิบเบียร์ Amstel จืดๆขวดละ 5 JD (ประมาณ 200 บาทแน่ะ ขวดเล็กด้วย) พร้อมฟังเพลงบรรเลงย้อนยุค 70 กันแก้เหงา สุดท้ายก็เบื่อ นอนดีกว่า พรุ่งนี้ออกสายด้วย ออก 10 โมง นอนกันให้พอ!

======================================================================================================

WW-1

Oct 13, 2012

ไปเกาหลี.....


Trip Sep. 2011 : Korea  



อื้อ....ใช่ ไปเกาหลี แบบปุบปับ...ไม่ได้ทำอะไรนอกจากดูคอนฯ เดินเล่น กินข้าว กินกาแฟ.....
กำลังเปลี่ยนจากร้อนเป็นหนาวพอดิบพอดี

วันแรกแบกเสื้อหนาวไป ร้อนเหงื่อย้อย
วันที่ 2 ใส่แขนสั้นไม่เอาเสื้อหนาวไป ตกเย็นลมหนาวโชย
วันที่ 3 เอาเสื้อหนาวไปแจ่ไม่เอาร่มไป ฝนดันโปรย
วันที่ 4 อากาศเข้าที่ล่ะ ลมเย็นๆสบายๆ เสื้อ 2 ตัวกำลังดี
กลับพอดี - -"


Day 1

ถึงสนามบินอินชอนตอนเช้าๆ จัดการเอากระเป๋าออกมาแล้วไปรับโทรศัพท์เช่า ถ้าต้องการใช้งานโทรศัพท์ทั้งโทรทั้งเล่นเน็ต แนะนำให้เช่า อย่าเปิดโรมมิ่งมา เพราะเช่าที่นี่ใช้เครือข่ายที่นี่ทั้งถูกกว่าและเร็วกว่า สะดวกกว่ามากๆ มันมีหลายเจ้าให้เลือก ให้ทำการจองเครื่องผ่านเว็ปมาก่อนจะได้ลดราคา มันจองแค่ชื่อไม่ต้องเสียเงินไม่ต้องใส่ข้อมูลบัตรเครดิตใดๆ

เอาใบจองที่รับทางเมล์มาติดต่อรับเครื่องที่เคาเตอร์ (จริงๆแล้ว walk in มาเช่าก็ได้ แต่จะไม่ได้ส่วนลดค่าเช่า) ลองดูตามนี้ S-Roaming หรือ SK Telecom ถ้าใครโรมมิ่งมาแล้วจะใช้เน็ตให้ถามดีๆก่อนมาว่ามาถึงแล้ว register กับ Operator เกาหลีอันไหนนะ ถ้าผิดกับคู่สัญญาของเค้า คุณไม่ได้ราคาโปรโมชั่นนะ จะโดนอ่วมกันล่ะตอนกลับไป ระวังกันให้ดี โดนกันมาเยอะ ถึงบอกว่าเช่าที่นี่ปลอดภัยกว่าเยอะ

เสร็จทุกอย่างก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟใต้ดิน เดินไปตามป้ายเรื่อยๆ ถึงสถานีรถก็ซื้อบัตรเป็นเที่ยวๆหรือใครที่จะใช้รถไฟเดินทางท่องเที่ยวทั้งทริปก็ซื้อบัตร T money แล้วใส่เงินไว้ได้ ใช้ขึ้นรถไฟ ขึ้นรถบัตร ซื้อของตามร้านสะดวกซื้อยังได้ แปะปื๊ดก็เข้าไป ไล่แผนที่ดูดีๆจะไปไหน เพราะระบบรถไฟฟ้าของเขาเยอะมาก โยงกันเหมือนใยแมงมุม ไปได้ทั่วโซล ต้องเลือกวิธีที่ต่อสายต่อสีให้น้อยๆ หน่อย > SMRT

ไปทำอะไรที่ Hongkong

Trip Apr. 2011 : Hongkong  



Hongkong Photo Gallery at pbase.com


........พอบอกใครๆว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าไปฮ่องกง ก็มีแต่คนถามว่า “ไปทำอะไรที่ฮ่องกงวะ” เออ......ก็นั่นซิไปทำอะไรวะ ก็มันเริ่มจากน้อง(ร่วมโลก)คนนึงนามว่าน้องเจน เธอพบรักกับดาราเกาหลี แต่เธอจะไปงาน fan meeting ที่ฮ่องกง เลยมาชวนไปด้วย ทำไมตอนนั้นถึงมึนงงและบอกว่าเออไปก็ได้ ทั้งๆที่เราไม่แฟนมีตอะไรด้วยละนะ เสียดายเงิน 555

ใกล้ถึงวันไปมานั่งนึกๆว่าจะไปทำไรบ้างวะมีเวลา 2.5 วัน เคยไปฮ่องกงมาหลายครั้งมากๆแล้ว แต่นี่ก็ห่างมาหลายปีอยู่ไม่ได้ไป สถานที่ท่องเที่ยวที่ฮ่องกงมีอะไรบ้างนะที่เคยไปแล้ว Ocean park ก็ไป 2-3 รอบแล้ว, ไปรีพัลซ์เบย์ไหว้เจ้าแม่กวนอิม ไหว้พระตามวัดดังๆ เดินเที่ยวจิมซาจุ่ย โรแมนติคที่ท่าเรือ.... แล้วก็ช็อปปิ้ง เดินมันทั่ว Ocean terminal เดิน Nathan road เดินตลาดนัดกลางคืน แล้วก็กินติมซำ กินอาหารทะเล < อันนี้มากะพ่อแม่กินเต็มที่หน่อยพ่อจ่าย ฮ่าๆๆ ลองนึกๆดูที่ยังไม่เคยไปก็มี Hongkong Disneyland, พระใหญ่เกาะลันเตา เออ...แถม The Peak ก็ไม่เคยขึ้น งั้นเอา 3 รายการนี่แหละ เป็นรายการหลักในทริปนี้...

เจนมันไปดูงานที่จีนก่อนแล้วจะนั่งรถไฟไปเจอกันที่ฮ่องกง เราก็บินไปฮ่องกงคนเดียว flight แรกของวันศุกร์ ลางานไปวันนึง บิน TG สบายใจ ใช้เวลาแค่ 2.5 ชม. ก็ถึงแล้ว Cheak Lap Kok สนามบินใหม่ของ Hongkong เดี๋ยวนี้มันไม่เสียวเหมือนตอนเราเด็กๆที่บินลงสนามบินเก่า Kitak airport มันอยู่กลางเมือง พลาดไปก็เสยตึก พลาดอีกด้านก็ลงทะเล เสียวทุกครั้งที่ไป แต่สนามบินใหม่มันอยู่ที่เกาะ Lantao กว้างขวางใหญ่โต ระบบขนส่งมวลชนเค้าก็ดี มีทั้งรถเมล์ รถไฟ แอร์พอร์ทเอ็กเพรส ไม่เหมือนบางประเทศ เดินทางทีโคตรลำบาก (รู้ๆอยู่)

ด้วยว่า Disneyland มันอยู่ที่ Lantao อยู่แล้ว เราเลยจะใช้เวลาบ่ายนี้แวะเที่ยวเสียเลย มาถึงฮ่องกงเอาก่อนเที่ยง แต่แถวตรวจพาสปอร์ตยาวมากกกกก ยืนรอกันไป ตรวจเสร็จแล้วมารับกระเป๋า เดินไปหาข้อมูลที่ Tourist information ก่อนนะ คว้าแผนที่มาแนบตัว สงสัยอะไรถามเจ้าหน้าที่ได้ภาษาอังกฤษเปรี๊ยะ เราจะเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบของฮ่องกงเพื่อไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ อิช่วงนี้อาจงงนิดหน่อย เดินตามนี้เลยละกัน ออกจากรับกระเป๋า เดินออกมา แล้วมองหาป้ายที่บอกไป Airport express เดินไปเหอะ เหมือนจะออกนอกสนามบินแต่ยังไม่ออกหรอก ขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นไปถึงใกล้ๆชานชาลาแล้วจะมีเคาเตอร์ใหญ่ๆคนต่อคิวซื้อบัตรกัน มันคือบัตรปลาหมึกอันเลื่องชื่อ (Octopus card) บัตรนี้เป็นบัตรเอนกประสงค์ใช้จ่ายค่าเดินทางสาธารณะทุกรูปแบบ (ยกเว้นรถ airport express) บัตรปกติราคา 150HKD ใช้ได้จริง 100HKD เหลือเท่าไหร่คืนบัตรแล้วได้คืนรวมกับมัดจำ 50HKD แต่! เค้าจะหักไป 7HKD ถ้าคืนก่อน 3 เดือน (คือจะให้ดองไว้ทำไมไม่รู้)


ไปเล่นสกีที่ฟูราโน...Furano Ski Trip

Trip Feb. 2011 : Furano, Japan   




ไปเล่นสกีที่ฟูราโนกันเถอะ   <คลิ๊กเพื่อไปดูรูป>


เพื่อนชวนไปเล่นสกีตั้งแต่ปีก่อนโน้น พูดกันจนลืม ในที่สุดก็มาลงล็อคที่เดือนกุมภาฯปี 2011 นี่เอง ตัดสินใจอยู่นานเพราะบวกลบคูณหารแล้วค่าใช้จ่ายคงแพงโข...แต่ความรู้สึกเมื่อปลายปี 09 ที่ไปเดินเล่นนั่งเล่นอยู่ในสกีรีสอร์ที่เกาหลียังติดใจอยู่ วันนั้นบอกตัวเองว่า อยากเล่นสกี!!

เพื่อนจัดการเรื่องตั๋วและที่พักให้หมด เพราะเธอเคยไปมาก่อนแล้ว 1 ครั้ง แถมยังติดต่อครูสอนสกีไว้ให้ด้วย ไปเล่นที่ฮอกไกโดเกาะที่อยู่ทางเหนือสุดของญี่ปุ่นกันซิ สรุปรายละเอียดมาได้ง่ายๆว่า บินจากกรุงเทพฯไปโตเกียวแล้วต่อเครื่องไปอาซาฮิกาว่าแล้วต่อรถไปฟูราโน ~ Bangkok – Haneda – Asahikawa – Furano ~ หลายต่ออยู่นะ วันแรกตระเตรียมตัวสำหรับเรียนสกี วันที่สองเรียนสกี วันที่สามเรียนสกี วันที่สี่เรียนสกี วันที่ห้าเล่นสกี (คาดว่าน่าจะเป็นแล้วเลยใช้คำว่าเล่นแทนเรียน) กลับเครื่องตอนกลางคืน รายการมีแค่เนี๊ยะแหละ ง่ายๆ - -“

เราเลือกบินกับ ANA เครื่องออกตอนห้าทุ่มกว่า บินไปถึงสนามบินนานาชาติฮาเนดะตอนเช้ามืด ก่อนเครื่องลงท่านกัปตันแจ้งว่าอุณหภูมิเบาะๆแค่ 1 องศา เท่านั้นจึงจัดแจงใส่เลคกิ้งเตรียมพร้อม เสื้อโค๊ทเดี๋ยวค่อยเอาตอนรับกระเป๋าก็ได้ เพราะสำหรับคนต่อเครื่องต้องลงมารับกระเป๋าแล้วลากไปเช็คอินที่เคาเตอร์อีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เช็คยาวไปเลยเพราะที่นั่งก็ระบุมาหมดแล้ว แต่มันก็แค่ใกล้ๆลงมาแค่ชั้นเดียว เช็คอินเสร็จก็เดินไปขึ้นรถ shuttle bus ไปสนามบินภายในประเทศ ถึงภาษาอังกฤษจะไม่เลิศเลอ แต่ระบบการจัดการ การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวของญี่ปุ่นก็ดีมากทีเดียว มีทำใบปลิวแจก อธิบายจุดรอรถขึ้นรถให้นักท่องเที่ยวทุกคนชัดเจน

มีเวลาอยู่ที่สนามบินประมาณ 2 ชม.กว่า เลยเดินดูของซึ่งล้วนเป็นขนมทั้งนั้น น่ากินมากๆทุกร้านทุกตู้ ซื้อติดไปบ้างเอาไว้กินเล่นกัน ทั้ง Cheese cake ทั้งโมจิ ทั้งคุ๊กกี้ ขนมปัง ชูครีม โอย...อร่อย เดินชิมไปทุกร้าน หอมหวลจริงๆ แต่ราคาไม่ค่อยมิตรภาพเท่าไหร่ กล่องละ 1,000 – 3,000 เยนทั้งนั้น ตกประมาณ 400 บาทขึ้น ร้านมีให้เลือกเต็มไปหมด ล้วนทำสดๆหอมๆ ใครจะอดใจไหว



Sep 21, 2012

ลาวใต้กันอีกครั้ง


Trip Dec. 2010 : Southern Laos    




       พาที่รักไปเที่ยวลาวใต้มาช่วงวันหยุดเดือนธันวาคม ไปคราวนี้ห่างจากครั้งแรก 2-3 ปี คราวก่อนไปหน้าน้ำ ฝนตกตลอด และน้ำตกทุกที่เหลืองเพราะน้ำหลาก คราวนี้ลองไปหน้าหนาว ซึ่งไปแล้วมันก็ไม่ยักหนาวอย่างที่คาด แต่น้ำพอสวยหน่อย   เอา Mileage แลกตั๋วการบินไทยไปกลับอุบลไปนอนที่ทอแสงอุบล (ในเมือง) 1 คืน  

       เช้าก็จับสามล้อไปท่ารถบขส. เพราะหาข้อมูลมาได้ว่าเดี๋ยวนี้มีรถตู้คิววิ่งจากท่ารถไปช่องเม็กออกทุกชม. แต่ถ้าเป็นรถทัวร์ระหว่างประเทศวิ่งจากบขส.อุบล ไปถึงบขส.ปากเซเลย ก็มีเที่ยว 9.30 กว่าจะไปถึงปากเซก็เที่ยงกว่าโน่น ไอ้เรามันใจร้อน แถมอยากเที่ยวเยอะๆ เลยไปรถตู้เ็ร็วกว่า   รถตู้รอคนเต็มก็ออกได้เลยด้วยซ้ำไม่รอรอบ แปดโมงกว่าๆรถก็ออกแล้ว ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงด่านช่องเม็กแล้ว เดินแบกเป้ฝ่าแดดร้อนๆข้ามด่านไปประทับตรา Passport เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท คนเยอะพอควร แต่ที่น่ารำคาญคือพวกไกด์ที่ไม่มีมารยาทแซงคิวตลอดเกลียดจริงๆทั้งไกด์ไทยไกด์ลาวเลย ได้ด่ากันไปหลายคน เสร็จแล้วก็มาเดินวนหารถเช่า แต่ไม่เห็นสักคัน เลยสุ่มไปถามสาวลาวที่นั่งเป็นปชส.อยู่ข้างสวน น้องเลยแนะนำอ้ายลาวมา 1 คน พูดไทยชัดเจน ท่าทางเป็นหัวคิวของแถบนี้ พี่บอกได้เลย จัดให้รถนั่ง 2 คน เหมาไป 3 วันตกวันละ 1,500 บาท พอๆกับที่หาข้อมูลมา คนขับพูดไทยได้ชื่อ สัญจร เพราะพี่แกบอกนอนไหนก็ได้   

       ฮุนได 4W พาเราสองคนจากด่านวังเต่าฝั่งลาวปุเลงๆไปถึงปากเซในราวเที่ยงกว่าๆ เราตัดสินใจไม่แวะ บึ่งไปที่น้ำตกคอนพะเพ็งเลยดีกว่า หลับไปอีกตื่นประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงแล้ว หาอาหารกินเที่ยงกินซะก่อนเพราะหิวหน้ามืด เทียบจากครั้งก่อนที่มา เดี๋ยวนี้มีร้านรวงเปิดขึ้นเยอะแยะ จัดที่ทางจอดรถเป็นระเบียบขึ้น คนไทยเดินเที่ยวกันหลายกลุ่ม ทัวร์เต็มไปหมด นอกจากนักท่องเที่ยวไทยก็มีเขมร เพราะสัญจรบอกว่ามันใกล้ชายแดนเขมรมากเลยแถวนี้ ข้ามมาง่ายมาก 
  

     คอนพะเพ็งวันนี้น้ำไม่เหลืองขุ่นเหมือนคราวก่อน ฝนก็ไม่ตก แดดแจ๋จนเหงื่อตก น้ำไม่มากสามารถไต่ลงไปปีนป่ายตามโขดหินริมน้ำไ้ด้ แล้วแต่อยากเสียวมากเสียวน้อยก็ปีนกันไปตามสะดวก จึงเห็นคนปีนป่ายตามแง่งหินเต็มไปหมดถ่ายภาพลำบากจัง เลยอาศัยถ่ายภาพเจาะน้ำตกด้านไกลเอา จากนั้นก็ขึ้นมายืนถ่ายรูปบนศาลาอีกจุดหนึ่ง เป็นจุดเดิมกับคราวก่อนที่มา ความกว้างของน้ำตกเต็มความกว้างแม่น้ำโขงสวยงามดี 

บินไป-บินกลับ ขับรถเที่ยวที่"โครเอเชีย"

Trip Aug 2010 : Croatia




Hrvatska เป็นคำในภาษาท้องถิ่นของชาวโครแอต แปลว่าโครเอเชีย (Croatia) ประเทศนี้อยู่ตรงไหนของโลก?? ขอสารภาพว่าครั้งแรกที่ได้ยินชื่อก็มึนตึ๊บเหมือนกัน จนเพื่อนแก๊งค์ขาประจำบอกว่า โครเอเชียอยู่ใกล้ๆกับอิตาลี ถึงได้พอนึกพิกัดออก ด้วยว่าเพื่อนต้องไปธุระที่อิตาลีอยู่พอดีจึงมาเชิญชวนเพื่อนแก๊งค์ว่า ไปลุยโครเอเชียกัน!!


มองตามแผนที่ โครเอเชียอยู่ทางทิศตะวันออกของอิตาลี โดนกั้นโดยทะเลเอเดรียติค (Adriatic Sea) การเดินทางจากอิตาลีมาที่โครเอเชียก็แสนจะง่าย มี Ferry ข้ามจากอิตาลีมามากมายหลายบริษัท แล้วแต่เมือง เช่น จากเวนิสก็มีเฟอร์รี่นั่งข้ามมาที่เมืองโรวิญ่า (Rovinj) ของโครเอเชียได้ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่หากมาจากอันคอน่า (Ancona) อาจต้องนั่งนานหน่อยเพราะทะเลช่วงนั้นกว้างซะแล้ว สามารถจับเฟอร์รี่ข้ามไปเมืองสปลิท (Split) หรือ ดูบรอฟนิค (Dubrovnik) ก็ได้ ถ้าไม่ชอบเรือก็นั่งรถได้ อ้อมขึ้นด้านเหนือก็มีเขตชายแดนติดกับอิตาลีเช่นกัน

Croatia Photo Gallery
แต่การเดินทางจากเมืองไทยมันไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก เพราะไม่มีสายการบินใดบินตรงกรุงเทพฯ-ซาเกรป (Zagreb) เมืองหลวงของโครเอเชีย วิธีง่ายที่สุดคือบินไปลงอิตาลีหรือออสเตรียแล้วจึงเข้าโครเอเชีย แต่ที่นิยมกันมากคือการบินกรุงเทพฯ-เวียนนา (Vienna, Austria) แล้วต่อรถ หรือรถไฟ หรือเครื่องบินเข้าโครเอเชีย (ค่าเดินทางถูกกว่ามาจากอิตาลี) รายการท่องเที่ยวที่บริษัทฯนำเที่ยวนิยมจัดจึงเป็น ออสเตรีย – สโลเวเนีย – โครเอเชีย ซึ่งมีพรมแดนต่อเนื่องกัน เดินทางท่องเที่ยวได้ง่ายทั้งทางรถหรือรถไฟแสนสะดวกสบาย แต่พวกเราเป็นประเภทชอบเที่ยวแบบเจาะลึก มีเวลาแค่ 1 อาทิตย์ จึงเลือกบินต่อจากเวียนนาเข้าซาเกรปทันที แล้วเช่ารถตระเวนไล่เที่ยวจาก Zagreb ไปแถบ Istria และเลาะเลียบทะเลเอเดรียติคลงใต้ไป Split, Trogir, Dubrovnik โดยแวะเที่ยว Plitvice National park ด้วย   แผนการเดินทางของพวกเราแบบง่ายๆน่ารักๆตามนี้



ใช้บริการ Austrian Airline บินต่อเนื่อง Bangkok - Vienna - Zagreb มาถึงกรุงซาเกรปตอนสายๆวันอาทิตย์ เข้าที่พัก Palace Holtel ที่จองไว้แล้ว

บ่ายๆก็ออกเดิน Zagreb City Tour จากย่าน Lower town ไปย่าน Upper town สถานที่น่าสนใจ เช่น Main square ลานอนุสาวรีย์ Ban Josip Jelacic, Stone gate, St. Mark church ที่มีหลังคาโบสต์มุงเซรามิคสีสดใส, St. Catherine church เป็นต้น เดิน 2 ชม.ก็ทั่วแล้ว

ระหว่างทางแวะหาอาหารทานแถบย่าน Radiceva ส่วนมากเป็นอาหารอิตาเลี่ยน Pizza, Spagetty เดินเล่นรอบๆ แล้วเดินกลับลงมาด้านล่าง ผ่านซุปเปอร์มาเก็ตหาซื้อเสบียงเล็กน้อยแล้วกลับที่พัก

Sep 20, 2012

เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนจบ)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh - India


click for Ladakh photo gallery

อ่านตอนแรก >> เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)


3. ไต่ฟ้าคว้าหิมะที่แปงกองเลค



วันนี้เดินทางไกล ข้ามเขาหลายลูกเพื่อไปชม ทะเลสาบแปงกอง (Pangong Lake) รายการวันนี้มีเรื่องพิเศษนิดหน่อยที่ควรเล่าให้เป็นกรณีตัวอย่าง คือ คนที่ถือพาสปอร์ตข้าราชการสามารถเข้าอินเดียโดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ แต่การเดินทางไปที่บริเวณทะเลสาปแปงกองนี้ ต้องทำเรื่องขอนุญาตทางการเพิ่มต่างหาก โดยเขาจะตรวจดู tourist visa ถ้าไม่มีไม่สามารถเข้าพื้นที่นั้นได้ สอบถามได้ความว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะบริเวณนั้นใกล้ชายแดนปากีสถาน – จีน – และเนปาล การตรวจตราเข้มงวดมาก นักท่องเที่ยวซึ่งมี tourist visa เท่านั้นที่ผ่านเข้าได้ ถ้าข้าราชการที่ไม่มีวีซ่าต้องทำเรื่องขออนุญาตเข้าพท.เป็นการล่วงหน้า ซึ่งใช้เวลานาน ขอวีซ่าท่องเที่ยวมาง่ายกว่า เหตุการณ์นี้มาเกิดกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งในกรุ๊ป พยายามต่อรองกับทางการอินเดียกันจนหมดปัญญา คุณหนึ่งจึงแก้ไขโดยการจัดรถแยก 1 คันพร้อมไกด์ให้พี่เขาไปทะเลสาปอื่นที่คล้ายคลึงกัน สรุปว่าให้พี่เขาไปทะเลสาปชื่อ Tsokar ต้องนั่งรถข้ามเขาผ่านจุดสูงๆคล้ายกับเส้นทางที่เราจะไปทะเลสาปแปงกองแหละ เพราะทางที่เราจะไปวันนี้จะผ่านจุดที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยด้วยคือ Changla pass ซึ่งสูง 5,360 ม.จากระดับน้ำทะเล

เริ่มออกเดินทางกันเช้าหน่อยวันนี้ ขบวนของเราใช้ทางเส้นเดิมกับเมื่อวาน วิ่งไปจนถึงทางแยกเมืองคารู แต่คราวนี้เราแยกออกไปถนนเส้นซ้ายมือแทน จากจุดนี้ไปจะมีด่านเป็นระยะๆ ต้องเอาพาสปอร์ตไปให้จนท.ตรวจ จากแยกเมืองคารูไปเป็นเขตพท.ทหารซะเป็นส่วนใหญ่ มีรถทหารวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นระยะ ให้บรรยากาศตื่นเต้นสลับตื่นตา (กับทิวทัศน์) ภูมิประเทศมีหลายรูปแบบเหลือเกิน จากถนนแคบๆวิ่งผ่ากลางพื้นที่ราบแห้งแล้งไประยะหนึ่ง ก็ผ่านมาเจอหุบเขา จากนี้เราจะต้องไต่เขากันแล้ว ถนนเลนครึ่งชวนเสียวเวลามีรถสวน มองด้านซ้ายมือจะเป็นหุบเขาตัดลงไป มองเห็นนาขั้นบันไดเขียวๆสวยดี ไต่ความสูงไปเรื่อยๆ โค้งซ้ายโค้งขวา พี่คนขับก็ใช้วิธีการขับแบบลาดัคห์แท้คือบีบแตรและไม่ต้องเบรค แม้จะเจอรถใหญ่สวนลงมาพี่แกก็หลบชิดลงข้างทางไปเลยไม่มีแตะเบรคให้ความเร็วลด ซึ่งข้างทางก็ไม่มีรั้วกั้นอะไรเลยมองเห็นหุบเหวได้ชัดเจน ใครหลับลงได้ก็ใจแข็งเกิน

เลห์-ลาดัคห์...ยากนักที่จะลืม (ตอนแรก)

Trip June 2010 : Leh, Ladakh - India



click for Ladakh photo gallery

เพิ่งไปธิเบตมาเมื่อช่วงสงกรานต์ ~ไม่ประทับใจเท่าไหร่ พอเดือนมิถุนายนมี email จาก gotogether เจ้าเก่าส่งมาเชิญชวนไปเที่ยว “ธิเบตน้อย เลห์-ลาดัคห์ leh–Ladakh” พิจารณาแล้วราคาดูดี คุณแฟนท่านเลยอยากไป ประกอบกับน้องอ้อเซลล์เสียงหวานโทรตามหลัง email มาเชิญชวนซ้ำเข้าไปอีก คิดไปคิดมา เออ...ไปก็ได้วะ

โปรโมชั่นคราวนี้จัดกับ Kingfisher สายการบินใหญ่ของอินเดีย (จากที่อ่านจากเวปต่างๆว่าใหญ่น่ะ) ใช้เวลาเที่ยวรวมเดินทางประมาณ 7 วัน อากาศช่วงนี้กำลังดี ถือเป็นช่วงเริ่มไฮซีซั่นของแถบนั้น

มาทำความรู้็จักกันสักนิดก่อน เลห์ (Leh) คือเมืองหลักหรือเมืองหลวงของแคว้นลาดัคห์ (Ladakh Region) โดยที่แคว้นลาดัคห์คือ 1 ใน 3 แคว้นของ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ (Jampu-Kashmir State) อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียใกล้เขตชายแดนปากีสถานและธิเบต งงมั๊ย...เอาง่ายๆคือ อินเดียมี 28 รัฐ หนึ่งในนั้นคือ รัฐจัมปู-แคชเมียร์ ซึ่งรัฐจัมปู-แคชเมียร์นี้แบ่งเป็น 3 แคว้นคือ แคว้นจัมปู, แคว้นแคชเมียร์ และแคว้นลาดัคห์ สรุปอีกทีว่า เลห์เป็นซับเซ็ตของลาดัคห์ ลาดัคห์เป็นซับเซ็ตของจัมปู-แคชเมียร์ และจัมปู-แคชเมียร์เป็นซับเซ็ตของอินเดีย....เฮ้อ....

1. อินเดีย อะเกน



วันแรกของการเดินทางเป็นช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน เป็นวันเกิดคุณแม่พอดี หลังจากไปทำบุญวันเกิด แล้วก็ทานอาหารกลางวันกัน ก็อาบน้ำเผ่นไปสนามบินสุวรรณภูมิ มีเจ้าหน้าที่มารอรับอยู่แล้ว มีไกด์เดินทางไปด้วย 1 คน พบหน้าตาค่าตาก็อุ่นใจ เพราะคือคุณหนึ่งเจ้าเก่าคราวไปเที่ยวราชาสถานปีก่อน กลับมาเจอกันอีกครั้ง Kingfisher IT026 ออกเดินทางเวลาประมาณ 20.30 น. ฟุตบอลโลกคู่ฮอลแลนด์-ญี่ปุ่นกำลังเตะกันอย่างเมามัน ดูไม่ทันจบก็ต้องขึ้นเครื่องเสียแล้ว ขอบอกว่าไม่ประทับใจ Kingfisher เท่าไหร่เลย มีดีที่เป็นจุดเด่นที่พูดกันจังคือมีจอทุกที่นั่ง แต่ว่าเครื่องก็เก่า เล็ก แคบ นั่งไม่สบายเอาซะเลย หลับก็ปวดหลังตื่นก็ปวดหัว....เอ...หรือจะเป็นที่อายุ...

อาหารแขกบนเครื่องไม่ถูกปาก แถมบ.ทัวร์คงไม่แจ้งเอา non-veg ให้ มันจึงมาเป็นมังสวิรัติทุกมื้อที่บิน (ถ้าจะไปเครื่องแขก ก็แจ้งสายการบินด้วยว่าไม่เอามังสวิรัติ ถ้าไม่ชอบ) นอนหลับๆตื่นๆไปสัก 4 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินนิวเดลลีในเวลากลางดึก ปรับนาฬิกาถอยหลังจากบ้านเราไป 2 ชั่วโมงก็เป็นเวลาอินเดียแล้ว ลงมารอรับกระเป๋าแล้วรวมสมัครพรรคพวกออกมารอรถบัสที่จะมารับพาไปนอนแว๊บที่โรงแรมในเมือง (แว๊บเดียวเพราะเช้ามืดก็ต้องออกมาสนามบินเพื่อต่อเครื่องไปลาดัคห์แล้ว ถ้ามาเองเราคงนอนที่สนามบิน ฮา..) อากาศนิวเดลลีเวลาเที่ยงคืนร้อนได้ใจจริงๆ เหมือนหนีร้อน (เมืองไทย) มาพึ่งร้อน (อินเดีย) ทราบจากคุณหนึ่งว่าอุณหภูมิประมาณ 39 องศา โอ้ว...แม่เจ้า

Sep 19, 2012

เที่ยว Dalat กับ Darling

Trip May 2010 : Vietnam (Dalat - Hochiminh)




Dalat photo gallery @pbase >> http://www.pbase.com/ton_manuswee/dalat

ดาลัดนี่เป็นโปรแกรมแทรก กบกับต๋อยชวนไว้เมื่อนานแล้ว เพื่อนจัดการจองตั๋วโปรฯของหางแดงไว้ให้นานจนเกือบลืม ช่วงนี้อากาศเมืองไทยก็ร้อนๆ ฝนลงเป็นระยะๆ ไปเที่ยวดาลัดก็คงดี เท่าที่เคยอ่านดาลัดเป็นเมืองตากอากาศของเวียดนามทางใต้ก็ว่าได้ เพราะอยู่ในพื้นที่สูงอากาศเย็นสบายตลอดปี แถมมีบ้านสวยๆสไตล์ยุโรปด้วย น่าสนใจแฮะ

28 พฤษภา วันนี้วันศุกร์วันหยุดวิสาขบูชา แต่ตั๋วโปรฯมันได้ช่วงเย็น ตั๋วถูกก็อย่างนี้แหละจะให้ได้เวลาดีๆคงยาก เป็นการขึ้นหางแดงครั้งที่ 2 หรือ 3 นี่แหละ (ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สนับสนุนสายการบินนี้ จะขึ้นก็ต่อเมื่อตามใจเพื่อน ว่าง่ายๆคือไปกับเขาเรื่องมากไม่ได้) ยังนึกว่าไม่ระบุที่นั่ง แต่เดี๋ยวนี้เขาระบุที่นั่งแล้วเพิ่งรู้ สิ่งที่ขัดใจอีกอย่างคือต้องเสียเงินค่าโหลดกระเป๋า จำได้ว่าเมื่อก่อนไม่ถึงร้อยบาท ครั้งนี้ให้ต๋อยทำเรื่องให้ต๋อยบอกว่ามันเที่ยวละ 200 บาทแล้ว!! โอ้ว...แม่เจ้า ไปกลับรวมแล้วเสียค่าโหลดกระเป๋า 400 บาท โหลดได้ 15 กิโล กระเป๋าขึ้นเครื่องได้แค่ 7 กิโล เขามีสุ่มขอชั่งกระเป๋าหรือเป้ด้วย ใครแบกอุปกรณ์กล้องหนักๆก็ระวังด้วย ได้ตั๋วถูกแต่หงุดหงิดใจเป็นบ้า

FD3724 ไม่ดีเลย์ออกจากกรุงเทพฯเวลา 15.50 น. นั่งสัปหงกไปไม่นานก็ถึงโฮจิมินห์แล้วเวลาไม่เปลี่ยนจากไทย เครื่องลงเวลา17.25 น. จัดแจงแลกเงินเวียดนามดองไว้ใช้จ่าย ตอนนี้ดอลล่าห์ตกเยอะมากเหลือประมาณ 32 บาทกว่าๆ แลกเงินที่เคาเตอร์แบงค์ในสนามบินได้เลย อย่าแลกที่เคาเตอร์ท่องเที่ยวเพราะจะเสียค่ากินเปล่านิดหน่อย (คิดเป็นเปอเซนต์) คืนนี้เราจะนั่งรถไปดาลัดกันเลยไม่ต้องนอนที่โฮจิมินห์ให้เสียเวลาเสียค่าโรงแรม ต๋อยมีน้องที่ทำงานที่นั่นจึงให้เขาจองรถให้ไว้ล่วงหน้า รถไปดาลัดมีออกเยอะแทบทุกๆชั่วโมง พวกเราจองไว้เที่ยวประมาณห้าทุ่มเพื่อกะเวลาให้ไปถึงดาลัดเช้าพอดี

แลกเงินเรียบร้อยก็เรียกแท็กซี่เข้าเมือง เหมือนที่เคยเล่าตอนทริปปีที่แล้วว่าให้เลือก Taxi บริษัท VinaSun หรือ Mailinh นอกนั้นอย่าไปเสี่ยง เราเรียก VinaSun ไปฟามงูหลาว-ย่านข้าวสารของไซง่อน เย็นๆอย่างนี้รถติดพอสมควรแต่ก็ขยับไปเรื่อยๆเสียงบีบแตรดังระงมตลอดทาง ทำให้มั่นใจได้ว่านั่งเครื่องมาลงถูกประเทศแน่นอน จ่ายค่าแท็กซี่ไปแสนกว่าดอง ก็หอบของลงไปจัดการเอาตั๋วรถก่อน เราเลือกใช้รถบริษัท Phuong Trang อ่านว่าเฟืองเจียง บ.รถอยู่ปากซอย De Tham เลย ไปจ่ายเงินคนละ 120,000 ดองรับตั๋วคนละใบ เห็นในตารางจองเต็มหมดเลย ถ้าไม่จองอาจได้เที่ยวดึกมาก จัดแจงฝากกระเป๋าแล้วก็ไปเดินเล่นดีกว่าพร้อมกับหาที่พักวันกลับเข้ามาด้วย เดินวนไปวนมาแถบนั้นหาโรงแรม หาข้าวกิน เจอร้านขายข้าวแกงเล็กๆแต่ลุงย่างหมูย่างหน้าร้านชิ้นเบ้อเริ่ม หอมฉุย คนยืนออกันเต็มเราก็เลยไปออด้วย ได้ที่นั่งก็ซัดกันไม่ยั้ง สั่งทุกอย่างทั้งไข่พะโล้ หมูกรอบ หมูย่าง ผัดผัก แกงจืด ชี้ๆเอา คิดเงินมาแล้วคนละไม่กี่สิบบาทอิ่มไป ยังเหลือเวลาอีกนานเลยนั่งซัดเบียร์ 555 รอเวลากัน เลือกร้านนั่งสบาย Hung Hung อะไรสักอย่างรอเวลา 23.45 รถบัสสีส้มแปร๊ดมาถึงหน้าบริษัทฯก่อนเวลานิดหน่อย คนขึ้นนั่งเกือบเต็ม ช่วงเบาะแคบไปหน่อย แต่รถก็สะอาดดี รถออกตรงเวลา เด็กรถแจกน้ำคนละ 1 ขวด จากนั้นก็สลบกันไป รู้สึกว่ารถขับเร็วทีเดียวถนนบางช่วงก็ไม่ค่อยดีหลับๆตื่นๆไปตลอดทาง


เดินย่องๆท่องธิเบตกับต้น-วัฒน์

Trip Apr. 2012 : Tibet


ร้อนๆๆ สงกรานต์เมืองไทยปีนี้มันร้อนมาก ทั้งอากาศและบรรยากาศ หลบลมร้อนไปเที่ยวหนาวๆสัก 5-6 วันท่าจะดี พี่อิสชวนไปธิเบต private group กับพวกเพื่อนๆพี่เขา ประมาณ 10 คน เอาๆๆ อยากไปธิเบตนานแล้ว ไปคราวนี้ออกแนวไฮโซ โดยบินไปลงเฉินตูปรับสภาพ 1 คืน แล้วก็บินต่อไปลาซา แล้วก็บินกลับมาเฉินตูมาดูหมีแพนด้าก่อนกลับ (อยู่เมืองไทยไม่เคยสนใจเล๊ยยยย...)


Tibet Photo Gallery at Pbase.com > http://www.pbase.com/ton_manuswee/tibet



Day 1 : Bangkok - Chengdu

บินการบินไทยรักคุณเท่าฟ้าไปเฉินตู (Chengdu) เมืองหลวงของมลฑลเสฉวน (Sichuan) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง กินอิ่มนอนหลับแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว ปรับนาฬิกาให้เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาประเทศจีนแล้ว เราไปถึงสนามบินเฉินตู (Chengdu Shuangliu International Airport) ตอนประมาณบ่ายสามโมง ตรวจเอกสารรับกระเป๋าเสร็จก็ออกมาพบกับพี่ไกด์ชาวจีนที่พูดไทยได้ดี แนะนำตัวว่าชื่อ อาเผิง (ซึ่งวันหลังๆเราถึงรู้ว่าต้องเรียกผู้พันเพิงนะ เพราะฮีเป็นทหารนอกราชการ โฮ่...) อาเผิงจะพาไปเที่ยววัดสามก๊ก (อู่โหวฉือ, Wuhou Ci ~ Wuhou Memorial Temple) เป็นที่แรก วัดสามก๊กเนี่ยอยู่กลางเมืองเฉินตูเลย ประวัติความเป็นมาอะไรก็ไม่ค่อยได้ฟัง มีรูปปั้นเกี่ยวกับสามก๊กเยอะแยะไปหมด ทั้งขงเบ้ง กวนอู เตียวหุย เดินถ่ายรูปตามพี่ๆน้องๆไปเรื่อยๆ คนไทยคนจีนเที่ยวกันเต็มวัด

จบจากวัดสามก๊ก ก็ประเดิมอาหารจีนกันที่ภัตตาคาร ผักเพียบ ผัดมามันเยิ้มทีเดียวเชียว ปลาจีนก้างแฉกนึ่งซีอิ๊ว ซาละเปาก็พอใช้ได้ คืนนี้เรามีรายการไปดูโชว์เปลี่ยนหน้ากาก โชว์ขึ้นชื่อของเมืองเฉินตู อันนี้อยากดูมาก โชว์เริ่มสองทุ่มกว่า ยังมีเวลาเหลือเฟือ เลยไปเดินเล่น แถบชุนซีลู่ ซิงเหนียงลู่ เป็นย่านช็อปปิ้งร้านแบรนด์เนมต่างๆ ก็ไม่ใช่แบรนด์หรูอะไรหรอก ส่วนมากเป็นแบรนด์ในประเทศเขานั่นแหละ แต่เป็นลานน่าเดินเล่นทีเดียว ทั้งวัยรุ่นทั้งนักท่องเที่ยวเดินกันเยอะ แยกย้ายกันเดินเล่นจนถึงเวลาไปดูโชว์ เพราะที่แสดงก็อยู่ไม่ไกลจากย่านนั้น ก็เดินไปเจอกันตามเวลานัด

อาเผิงซื้อบัตรโคตรถูกแน่นอน เพราะเรานั่งหลังเกือบสุดเลย ดีที่โรงมันไม่ใหญ่มาก นักท่องเที่ยวทยอยๆกันเข้ามา ฝรั่งตรงเวลาเหมือนเคยเข้ามาก่อนการแสดงหมด และคนจีนก็ไม่มีระเบียบวินัยเหมือนเคย โชว์แริ่มแล้วมันยังเข้าๆออกๆกันอยู่เลย น่ารำคาญอย่างยิ่ง การแสดงจัดแสงสีได้ดีทีเดียว แต่มีหลายชุดกว่าถึงชุดไฮไลต์ โชว์เปลี่ยนหน้ากากมัน Amazing จริงๆแหละ เปลี่ยนได้ปุ๊บปั๊บฉับไว มองไม่ทัน ชอบมากๆ แนะนำให้ไปดู...คืนนี้นอนโรงแรม 4 ดาว สบายซะ แต่พรุ่งนี้เช้าต้องออกแต่เช้ามืดตีห้ากว่าเพื่อไปขึ้นเครื่องไปธิเบต........

Sep 18, 2012

ทุบกระปุกบุกโคเรีย ภาคจบ

Trip Dec. 2009 : Korea

ทุบกระปุกบุกโคเรียภาคจบ


Click for Korea in Winter 2009 Photo Gallery at pbase.com

*** นามิซอม เกาะแห่งรัก *** 



วันนี้กลับเข้าสู่โปรแกรมท่องเที่ยวของพวกเรา วันนี้ไปเกาะนามิ เกาะนี้ดังเมื่อหลายปีมาแล้ว เพราะเป็นสถานที่ถ่ายทำละครดัง winter love song ไม่รู้ว่าดังขนาดไหน เพราะเราไม่ได้ดู ไม่ชอบหนังรักโรแมนติกขนาดนั้น แต่ก็คงดังมากเพราะทำเป็นจุดขายของเกาะได้เลย ทัวร์ส่วนมากก็แวะมาเที่ยวกัน เกาะอยู่ห่างจากโซลไม่มากนั่งรถแค่ 1 งีบก็ถึงแล้ว แล้วต้องนั่งเรือข้ามไปเกาะอีกแป๊ปนึง ไปถึงเจอนักท่องเที่ยวเยอะมาก ทั้งไทยทั้งจีน จริงๆแล้วควรมาเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง มันคงจะสวยเห็นในรูปที่แกลเลอรี่บนเกาะ ไม่อย่างนั้นก็มาฤดูหนาวแบบหิมะคลุมเต็มไปเลย แต่ที่เรามาหิมะมันเพิ่งลงไม่มาก ก็เลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ก็ดีที่คนไม่เยอะมากเท่าช่วงไฮซีซั่น บนเกาะสามารถเดินเที่ยวเล่นถ่ายภาพได้รอบเกาะเลย แต่จุดไฮไลต์ก็มีไม่กี่จุดหรอก เช่น แนวต้นสน มีหลายแนวเหมือนกัน รูปปั้นหรือพวกฉากจากหนัง มีบ้านโบราณ มีสวน มีสระน้ำ ถ้ามาช่วงอากาศดีๆมีเวลาเยอะ บางคนเช่าจักรยานปั่นรอบเกาะก็น่าสนุกดี

พวกเราก็เดินตามแนวต้นสนไปเรื่อยๆ ธรรมชาติสวยดีเหมือนกัน มีกระรอกวิ่งขึ้นวิ่งลงตามต้นสน มีนกกระจอกเทศที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เดินไปเดินมา เดินไปจนสุดเกาะด้านหนึ่ง ถ่ายรูปกันไปเรื่อยเปื่อยก็เดินกลับ ช่วงนี้ค่อนข้างหนาว มีหิมะตามพื้นแต่ไม่หนามาก ได้อารมณ์เย็นยะเยือกดีทีเดียว กลับออกมาก็ใกล้เที่ยง พี่ติ๊นาพาไปแวะทาน ทัคคัลบี้ ไก่ผัดซ๊อส เราว่าอร่อยดี ไก่หมักนำมาผัดกับซ็อสเค็มๆหวานๆ ใส่ผักเยอะๆ เกาหลีนี่นิยมให้คนกินมี Activity เลยให้มาผัดกันเองที่โต๊ะมีกระทะร้อนใหญ่ๆแบบทอดหอยทอดผัดกันไปควันขโมง อร่อยดีกินไก่ไปสักครึ่งกะทะเขาก็จะเอาข้าวลงมาผัดคลุกกับไก่ไปด้วย เอาไว้กินแกล้มไก่ อร่อยมากๆ ข้าวคำ ซุปคำ กิมจิคำ แซ่บสุดๆ

อิ่มแล้วก็นั่งรถกลับโซลกัน แผนวันนี้จะกลับไปแวะพระราชวังเคียงบ๊อก (Gyeongbokgung) แต่พวกเราไปถึงมันเป็นเวลาประมาณสี่โมงครึ่งเย็น เขาไม่ให้เข้าแล้ว พี่ติ๊นาแกยอมรับว่าแกลืม เพราะถ้าหน้าร้อนเขาเปิดให้เข้าได้ถึงห้าโมง ตอนนี้มันเข้าหน้าหนาวแล้ว ลืมไป...โฮ่

เลยเปลี่ยนแผนไป โซลทาวเวอร์กันแทน โซลทาวเวอร์ อยู่ที่เขานัมซาน กลางกรุงโซลเลย เหมือนประมาณเขารังกลางภูเก็ต ต้องจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเนินไปนิดหน่อย มีผู้คนเดินเล่นกันเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเกาหลี อากาศดีพอควรแต่ฟ้าไม่ค่อยเปิด พวกเราเดินมาจนถึงล็อบบี้ของโซลทาวเวอร์ พี่ติ๊นาไปซื้อตั๋วขึ้นลิฟต์ไปยอดทาวเวอร์ (ข้อเสียของการมากับทัวร์คือไม่รู้ข้อมูลไรเลย ไม่รู้ตั๋วราคาเท่าไหร่) ลิฟต์เร็วมากจากชั้นล่างสุดขึ้นไปชั้นบนสุด (สูง 240 ม.) ใช้เวลาแป๊ปเดียว ด้านบนเหมือนหอคอยชมเมืองทั่วไปคือเป็นกระจกรอบด้าน 360 องศา มองเห็นโซลได้รอบด้าน ขึ้นมาช่วงเย็นๆอย่างนี้ก็ได้บรรยากาศดี คือเห็นตั้งแต่สว่างจนค่อยๆมืด ก็จะเห็นแสงไฟในเมืองสว่างไสวเต็มไปหมด

ทุบกระปุกบุกโคเรีย ภาคแรก

Trip Dec. 2009 : Korea


ครั้งนี้ขอเรียกว่าเป็นบันทึกท่องเที่ยวแล้วกัน เพราะอาจไม่มีข้อมูลให้ไปใช้ท่องเที่ยวตามเท่าไหร่ เพราะคราวนี้ให้เอเยนต์ท่องเที่ยวจัดให้ เราแค่จดรายการสถานที่ที่อยากไปให้เขา เขาก็จัดมาให้เลย เลยขาดข้อมูลการติดต่อและราคาไปเยอะ จึงกลายเป็นบันทึกท่องเที่ยวเกาหลี “ทุบกระปุกบุกโคเรียกับสาวๆ LYH”


Click for Korea in Winter 2009 Photo Gallery at pbase.com

จากการวนเวียนดูหนังเกาหลีมาก็หลายเรื่อง ในที่สุดก็ได้ไปเกาหลีจนได้ รวบรวมสมัครพรรคพวกได้ 9 ชีวิต จึงติดต่อทัวร์ให้จัดกันแบบส่วนตัวไปเลย เพราะเราเที่ยวไม่เหมือนคนปกติ เพราะ 9 คนเป็นสาวๆกันหมด สาวมากสาวน้อยคละๆกันไป แต่ละคนมีภาระกิจส่วนตัวในการตามล่าหาขวัญใจหนุ่มเกาหลีไปต่างๆกัน ไหนจะช๊อปปิ้งไม่เหมือนใครอีก ไปส่วนตัวแหละดีแล้ว ต้นเดือนธันวาคม 2552 ได้ฤกษ์เบิกชัย แต่การเดินทางที่คิดว่าจะสบายกลับเพี้ยนๆเพราะเจอเอเยนต์ไม่ได้ดั่งใจ ก่อนบินไม่กี่วันดันมาบอกว่าต้องบินไปลงปูซานแทนโซล แต่ขากลับกลับจากโซลได้ เออเว้ย.....จะกลับลำยังไงได้ล่ะ เลยถือซะว่าได้มีโอกาสไปเห็นเมืองปูซาน เมืองท่าสำคัญของเกาหลีใต้ก็แล้วกัน แถมเป็นบ้านเกิด กงยู ดาราเกาหลีขวัญใจพวกสาวๆ 9 ชีวิตด้วย

*** เหินฟ้าไปปูซานบ้านเกิดกงยู *** 



คิดในแง่ดีก็ต้องว่าโชคดีที่มีตั๋วไปเที่ยวได้ในช่วง long weekend อย่างนี้ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เสียงคนไทยคึกคักกรี๊ดกร๊าดไปทั่ว ต่างคนสนองนโยบายไทยเที่ยวไทย โดยการบินไปเมืองนอกกันเพียบ (ออกแนวสำนึกรักบ้านเกิดขึ้นมาซะงั้น) เนื่องจากความผิดพลาดนิดหน่อยทำให้เราเดินทางกันดึกไปนิด Korean airline flight KE652 บินตรงกรุงเทพฯ – ปูซานในเวลาห้าชั่วโมงกว่าๆ ออกเดินทางก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลับๆตื่นๆกันไป ก็ถึงปูซานตอนเช้าๆแดดกำลังเริ่มส่องพอดี แรกเห็นเกาหลีใต้จากหน้าต่างเครื่องบินมันเป็นทะเลสีฟ้าสวย แม้อากาศจะขมุกขมัวนิดหน่อย แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้ว สนามบินปูซานใหญ่โตโอ่โถงดีทีเดียว 9 ชีวิตเดินตามกันมาแบบหวาดๆจากคำขู่ของใครหลายๆคนว่าตม.ผ่านยาก เคยมีคนไม่ได้เข้าด้วย เมืองไทยมาเกาหลีไม่ต้องขอวีซ่าแต่ดันมาพิจารณาเอาที่สนามบินนี่ สู้ให้ขอวีซ่ายังดีซะกว่า ไม่ให้เข้าจะได้ไม่ต้องเสียค่าตั๋ว นี่ให้มาเสี่ยงดวงเอา มันนโยบายอะไรกันก็ไม่รู้แฮะ

ในพวกเรา 9 ชีวิต เราเองดูจะปลอดภัยที่สุดเพราะเดินทางมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ตม.ไม่น่ามีปัญหา เจ๊หมูเป็นคนที่พวกเราห่วงเป็นที่สุดเพราะพาสปอร์ตเธอขาวโพลนเหมาะแก่การสงสัยว่าจะมาหาสามีเกาะกินอยู่ที่เกาหลี แต่ไปๆมาๆ เจ๊หมูก็ผ่านโลด แต่เราโดนเรียกเข้าห้อง!! โดยเหตุผลว่ากลับไม่พร้อมเพื่อน (ให้เอเยนต์ทำโปรแกรมทัวร์ไว้แค่ 5 วัน 6 คนกลับก่อน เรากับเพื่อนอีก 2 คนจะอยู่ตะลุยโซลต่อกันเองอีก 2 วัน) บ๊ะ...แต่เพื่อนที่กลับพร้อมเรากลับไม่โดนเรียก มาเรียกเราคนเดียว เป็นที่ฮือฮาไปทั่ว กลุ่มทัวร์ไทยอื่นๆก็ฮือฮาๆ พากันหวั่นไหวไปด้วย เมื่อเห็นเราโดนชี้เข้าห้อง แต่จริงๆแล้ว ตม.ผู้หญิงคนที่ตรวจเราเธอคงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆของเรา ที่บอกว่าจะอยู่ต่อ จะเที่ยวโซล เธอได้แต่ถามว่า ทำไมไม่กลับพร้อมเพื่อนๆๆ ถามอยู่นั่นแหละ พอเข้าในห้องอธิบายให้ตม.ผู้ชายฟัง พร้อมชี้ให้ดูสาวๆ 8 ชีวิต ที่ยืนรอชะเง้อชะแง้กันด้านนอก ตม.หนุ่มไม่เห็นสงสัยอะไร ทำหน้าเอือมๆแล้วประทับพาสปอร์ตให้ พร้อมโบกมือไล่ ไปๆๆๆ สรุปได้ว่า ไม่มีเหตุและผลใดๆทั้งสิ้น แล้วแต่อารมณ์ตม. และผู้หญิงเกาหลีพูดไม่รู้เรื่อง (มีเรื่องอื่นๆจากเจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกวันต่อมา)