Sep 16, 2012

Eight Days in Nepal

Trip May 2009 : Nepal



My Nepal Photo Gallery at Pbase.com > http://www.pbase.com/ton_manuswee/nepal

ใช้เวลา 8 วันในการตะลุยเนปาล กับผู้ร่วมทางรวม 6 คน และไกด์หนุ่มชาวเนปาลอีก 1 เหนื่อยแต่สนุก.....


         ไม่คาดคิดว่าจะได้ไปเนปาลในตอนนี้ เนปาลไม่ได้อยู่ในรายการท่องเที่ยวปีนี้ด้วยซ้ำ
คงเป็นพรหมลิขิตซะมั๊ง ที่อยู่ๆก็ตัดสินใจ ........ไป...ไปเนปาลกัน.....

          โชคดีที่ painaima.com เปลี่ยนให้เราใช้บริการการบินไทยแทนรอยัลเนปาลแอร์ไลน์ เครื่องจึงใหญ่นั่งสบาย อาหารอร่อย  landing ก็นุ่มนวล แค่ 3 ชั่วโมงกว่าก็ถึงสนามบินตรีภูวัน เมืองกาฏมาณฑุประเทศเนปาลแล้ว ไปถึงตรงเวลาคือประมาณเที่ยงแก่ๆ ปรับนาฬิกาย้อนหลังไปประมาณ 1.15 ชั่วโมงก็เป็นเวลาเนปาลแล้ว จัดแจงผ่านขั้นตอนตม.ออกมา เจอเด็กหนุ่มหน้าตาไม่ยักเนปาลเท่าที่คาด ยืนถือป้ายรอรับ แนะนำตัวกันได้ความว่าชื่อ “อารบิน” เป็นชาวเนปาลแท้ แต่เคยไปบวชเรียนที่เมืองไทยอยู่ 6 ปี พูดไทยปร๋อแถมพูดใต้ได้อีกต่างหาก ฮ่าๆ มันส์แน่ๆ

          อารบินพาพวกเราไป check in โรงแรม nirvana ในย่านทาเมล แถบข้าวสารของกาฏมาณฑุ แล้วก็ออกเที่ยวกันเลย ที่แรกที่จะไปบ่ายนี้คือ วัดพุทธมหายาน วัดโพธินาถ (Boudhanath) นั่งรถผ่าเมืองไปทางตะวันออกไม่กี่นาทีก็ถึงแล้วแรกเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป ก็มองเห็นเจดีย์สีขาวหม่นทรงโอคว่ำอันใหญ่ ด้านบนมีดวงตาเห็นธรรม โตเหมาะสมกับขนาดของเจดีย์ ธงภาวนาหลากสีขึงระโยงระยางทั่วไปหมด เหมือนภาพที่เคยเห็นตามนิตยสารไม่ผิดเพี้ยน

          เจดีย์โพธินาถได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ใหญ่สุดในเนปาล มีชาวธิเบตและชาวพุทธทั่วไปมาสักการะกันมากมาย แต่ละคนต่างเดินทักษิณาวัตรสวดภาวนาพร้อมหมุนกงล้อธรรมไปรอบฐานเจดีย์ นักท่องเที่ยวอย่างเรา เดินสักการะเสีย 1 รอบ แล้วขึ้นไปสัมผัสแบบใกล้ชิดด้านบนอีก 1 รอบ ก็พอแล้ว ลงมามองหาร้านกาแฟน่านั่งที่อยู่บนอาคารร้านค้าที่มีอยู่รายรอบเจดีย์ นั่งจิบกาแฟหามุมมองถ่ายภาพแปลกๆตา พร้อมมองดูผู้คนด้านล่างที่ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะ ทั้งมานั่งเล่นเดินเล่นมาสวดมนตร์เต็มไปทุกด้าน

          ใช้เวลาไปจนเต็มอิ่มก็กลับมาพบอารบินที่ทางเข้า เย็นนี้เรามีโปรแกรมอาหารเย็นแบบเนปาลีเซ็ต พร้อมชมการแสดง พวกเราไปถึงร้านเป็นกลุ่มแรกบ๋อยชาวเนปาลยังจัดที่ไม่เสร็จเลย ร้านออกสลัวถึงมืด เวลากินอาหารต้องเพ่งกันเล็กน้อย เริ่มต้นที่เหล้าท้องถิ่นของเนปาล ที่ใช้เหยือกยกเทเป็นสายยาวเสียวกระฉอกหก จิบแล้วไม่ไหวขอถอยเพราะแรงเหลือเกิน อาหารเนปาลถูกยกออกมาตักเสิร์ฟในจานทองเหลืองใบใหญ่ของแต่ละคน อารมณ์ประมาณข้าวแกงแต่มีกับหลายอย่าง มีไก่มีหมูมีผักเป็นส่วนใหญ่ สักพักดนตรีก็เริ่มบรรเลง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลง resham firiri ซึ่งต่อไปจะได้ยินแทบทุกวัน....จากนั้นก็มีการแสดง นักเต้นก็วิ่งเต้นไปทั่วร้าน เด็กเสิร์ฟก็เดินเสิร์ฟไป คนเก็บโต๊ะก็เก็บไป เดินกันวุ่นวายทั่วร้านแปลกดี ดูๆไปไฟก็ดับ พรึ่บ!! เฮ....อารบินบอกว่า เดี๋ยวเขาก็ปั่นไฟ ตอนนี้คงเป็นเวลาไฟดับย่านนี้ อืมม...จริง สักพักไฟก็มา....ดูไป 2-3 ชุดก็ไม่ไหวแล้วขอกลับไปนอนพักผ่อนดีกว่า...นมัสเต




           วันนี้เดินทางไกลกันแล้ว รถตู้สภาพดี แอร์เย็น แตรดัง จะพาพวกเรา 6 ชีวิตและอารบินไปเมืองโพครา (Pokhara) เมืองตากอากาศอันโด่งดังของเนปาล ห่างจากกาฏมาณฑุไปทางตะวันตกราว 200 กม. ไปทางรถที่ต้องผ่านเขาคดเคี้ยวก็คงใช้เวลาราว 6-7 ชม. !!!

           นั่งชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆจากตัวเมืองกาฏมาณฑุที่จอแจวุ่นวาย เริ่มห่่างออกไป ถนนขรุขระมากบ้างน้อยบ้าง ไม่นานก็กลายเป็นไต่ขึ้นเขาคดเคี้ยว สองข้างทางมีนาขั้นบันได ปลูกข้าวบาเลย์ ปลูกผัก แต่ช่วงนี้แล้งมาก นาเหลืองแห้งกรอบ บางแปลงก็กำลังเก็บเกี่ยว ถ้าหน้าฝนนาขั้นบันไดสีเขียวๆคงงามดี

           พี่บารัทคนขับรถตู้ของเราเรียกว่าชั้นเซียน เหยียบมาแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึงจุดพักทานอาหารพอดีในเวลาเที่ยงกว่าเอง แวะทานอาหารกลางวันกึ่งจีนกึ่งเนปาลที่ Riverside spring resort ที่เมือง Kurintar รีสอร์ทน่าพักริมถนนไฮเวย์ จากห้องอาหารเดินลงไปริมแม่น้ำ Trishuli เห็นนักท่องเที่ยวมาล่องแก่ง (rafting) กัน อารบินบอกว่าเป็นกิจกรรมยอดนิยมแถบนี้ มีการแข่งขันกันเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ น้ำเชี่ยวใช้ได้ท่าทางจะสนุก แล้วก็ออกเดินทางต่อ จากนี้ทางก็ยังคดเคี้ยวไปเรื่อย อีก 2 ชั่วโมงกว่าก็มาถึงโพครา รวมแล้วพี่บารัทเหยียบไปแค่ 6.30 ชั่วโมง หักเวลาพักไป 1 ชั่วโมงเหลือแค่ 5.30 ชั่วโมงเอง !!!
เมืองโพคราวันนี้อากาศขมุกขมัวฟ้าปิด เดินไปนั่งเล่นริมทะเลสาปเฟวา (Phewa lake) อากาศเย็นๆชื้นๆ ไม่มีแดดเลย แต่ก็ยังมีผู้คนมาพายเรือเล่น มานั่งเรือข้ามไปวัดทอง มีเด็กๆมาวิ่งเล่นกันริมทะเลสาป ถ่ายภาพกันนิดหน่อยก็เดินย้อนมานั่งจิบกาแฟเนปาลร้านในเมืองมองดูนักท่องเที่ยวเดินกันไปมา บ้างช๊อป บ้างชิม....ชิลๆวันนี้

          เย็นย่ำ กลับไปพบกับพรรคพวก เดินตามอารบินออกมากินอาหารเย็นที่ร้านชื่อบูมเมอแรง นั่งที่สวนด้านนอกมองเห็นวิวทะเลสาปเฟวาด้วย ลมฝนพัดผ่านเป็นระยะๆ อารบินบอกว่าฝนตกคืนนี้จะดี เช้าจะได้ฟ้าใส... พอเริ่มมืดไฟก็ดับพรึ่บ....เหมือนเดิม.....เนปาลนี่ไฟฟ้าไม่พอใช้ ต้องซื้อมาจากอินเดีย จึงต้องมีการแบ่งสรรปันส่วนกัน เปิด 8 ชั่วโมง ดับ 8 ชั่วโมง ประมาณนี้ สถานประกอบการต้องซื้อเครื่องปั่นไฟซื้อน้ำมันเอาเอง บ้านคนก็จุดเทียนเอา เขาจะมีตารางมาแจ้งเลยว่าพื้นที่ไหนจะดับช่วงไหนสลับกันไป...คิดถึงที่บ้านเราแล้วรู้สึกได้เลยว่า บ้านเราใช้ไฟกันฟุ่มเฟือยเหลือเกิน....
อาหารคืนนี้เป็นสเต็กไก่+ซุป+กล้วยหอมทอด อิ่มจุก ว่าแล้วก็มีดนตรีพื้นเมืองบรรเลงพร้อมโชว์ เต้นรำของชนเผ่าพื้นเมือง เพลง resham firiri ก็มาให้ได้ยินอีก.....



         Morning call ตอนตีสี่ครึ่ง ลืมตาตื่นมาพร้อมเสียงฮูมๆ แสงแว๊บๆๆนอกหน้าต่าง...เฮ้ย...ฝนตก....ทำไมมันไม่ตกตั้งแต่เมื่อคืนวะ มาตกตอนเช้าทำไม ลงไปปรึกษาอารบินที่ด้านล่างว่าเรายังจะไปยอดซารังกอต (Sarangot) กันหรือไม่อากาศอย่างนี้ เปลี่ยนไปพรุ่งนี้ดีกว่ามั๊ย...เจ้าบินโทรปรึกษาตาบารัท แกบอกว่าไปเถอะ...เห็นมีรถขึ้นไปหลายคันแล้ว เดี๋ยวฝนก็หยุด นี่ก็ซาแล้ว...เอาวะ....เชื่อ เพราะพี่แกเป็นคนโพครา เจ้าถิ่นว่าอย่างนี้ไม่เชื่อได้ไง
       
         นั่งรถขึ้นเขาซารังกอตประมาณ 20 นาทีถึงจุดชมวิวที่ 1 มีลานให้ชมได้ดีพอควร ถ้าไปจุดสูงสุดวิวพอยต์ที่ 2 ก็ต้องเดินต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง...ฝนซาเม็ดแล้ว แต่ลมแรงหนาวใช้ได้ บนลานเต็มไปด้วยแขก ไม่รู้ชาติไหน แขกหน้าตาเหมือนกันหมด พวกเรายึดมุมร้านค้าใต้กันสาดเพื่อหลบลมและฝน มองดูอากาศแล้วคิดว่าไม่น่าจะมีหวัง...เอาวะ...แขกอยู่ ไทยก็อยู่....สักพักฝนก็โปรยมาอีก ลมก็พัดอู้ หนาวมากๆ สุดท้ายแขกก็ไม่ไหวเพราะยืนเปียกกันกลางลานอย่างนั้น แขกลง แต่ไทยรอ.... สักพักไทยก็ต้องถอยเหมือนกัน ไปนั่งรอดูเชิงในรถดีกว่า......สรุปความ....แห้วกลับลงมา เพราะฝนไม่หยุด อย่าว่าแต่ยอดหางปลา (fish tail) เลย แค่เกล็ดปลาก็ไม่เห็น

         กลับมากินอาหารเช้า ฟัง resham firiri กล่อมไปหลายรอบ แล้วพักนอนเอาแรงดีกว่า....พอสายๆฝนก็หยุดจนได้ แดดเริ่มออกอ่อนๆ ออกเที่ยวโพครากันดีกว่า รายการแรกอารบินพาพวกเราไปย่านเมืองเก่า ชมแม่น้ำเซติ (Seti river) แม่น้ำสีขาวเหมือนน้ำนม บริเวณที่ไปดูเป็นเหมือนประตูระบายน้ำ สามารถเดินไปบนสะพานชมได้ใกล้ๆ ..แม่น้ำนี้ต้นน้ำมาจากหิมาลัยเชียว ไหลลงมาผ่านชั้นใต้ดิน และกัดเซาะเข้าเมืองมาเป็นโตรกผาลึกมาก ใช้ประโยชน์ในการนำไปปั่นกระแสไฟฟ้าด้วยนะแต่ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี ที่เป็นสีขาวอาจเป็นเพราะมันละลายหินปูนลงมาด้วย เห็นมีปูนสีขาวขุ่นตกตะกอนอยู่ที่พื้นเต็มเลย.....

          จากแม่น้ำสีนม ย้อนกลับไปริมน้ำเฟวา เราจะนั่งเรือล่องทะเลสาปและข้ามไปวัดทองที่เกาะกลางทะเลสาป จริงๆแล้วมีท่าเรือที่นั่งข้ามไปวัดได้ใกล้ๆแหละ แต่แหม...นะ ไปไกลๆหน่อยจะได้นั่งเรือชิลๆ...ชมทะเลสาปด้วย..ระหว่างนั่งรถไปจุดลงเรือ หันไปมองด้านหลัง กรี๊ด.......หิมาลัยๆๆ มันโผล่มาแล้ว....เห็นแล้วๆ แต่เห็นไม่เป็นเทือกยาวๆ แค่เห็นเป็นหย่อมๆ ลงเรือล่องทะเลสาปพอมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยเป็นฉากหลังบ้าง แม้ไม่แจ่มแจ๋วแต่ก็พอเยียวยาหัวใจเหี่ยวเฉาของพวกเราได้....
นั่งเรือไปขึ้นเกาะกลางทะเลสาป บนเกาะมีวัดชื่อวัดบาลาฮี (Barahi Temple) บางคนเรียกวัดทอง เพราะมีเทวสถานสีออกทองๆ เป็นวัดที่บูชาเจ้าแม่กาลี เดินเล่นไปรอบๆเกาะชมวิวทะเลสาปพร้อมหิมาลัยรางๆ เรือที่ทะเลสาบนี่เหมือนๆเรือแจวบ้านเราเลย แต่ทาสีสดใสต้อนรับนักท่องเที่ยวมากๆ
อาหารกลางวันเป็นอาหารจีน โต๊ะใหญ่เยอะมากๆ รดชาติดีทีเดียวอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามทะเลสาป แดดเริ่มร้อนแล้ว แสงดีเชียว จึงมีคู่บ่าวสาวมาถ่ายภาพกันที่สวนริมทะเลสาปหลายคู่ ดารานักร้องก็มาถ่าย MV กันหลายเจ้า ดูแล้วร้อนแทน วิ่งๆเต้นๆตามสไตล์แขกนั่นแหละ....

          หลังอาหารออกนอกเมืองไปหน่อยไปดูถ้ำพระศิวะ (Gupteshwor Mahadev Cave) ถ้ำนี่ต้องเดินลงไปใต้ดิน ห้ามถ่ายรูป (ทำไม?) ด้านล่างมีรูปสลักพระศิวะที่บอกว่าค้นพบที่ถ้ำใต้ดินนี้ มีชาวฮินดู ชาวพุทธไปสักการะแต้มติกากัน หากต้องการเดินลึกลงไปอีกต้องจ่ายเงินเพิ่ม ด้านล่างลงไปถ่ายรูปได้ เข้าใจว่าคงเป็นถ้ำหินงอกหินย้อย พวกเราไม่ได้ลง ดูที่บ้านเราก็มี จริงๆขี้เกียจ ไกด์ก็ขี้เกียจ...ฮ่าๆๆ...
ออกจากถ้ำมา เดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามของถนน เข้าไปดูน้ำตกเดวี่ (Devi’s fall) น้ำตกที่ได้ชื่อตามนายเดวี่ที่ดันตกลงไปตายเพราะว่ายน้ำไม่ดูตาม้าตาเรือ น้ำตกไม่ยิ่งใหญ่อลังการอะไร ดูเหงาๆเฉาๆ ตอนนี้แดดเริ่มร้อนหัวแทบแตก อยู่กันไม่นานก็ออกมา นั่งรถไปอีกนิดเดียวเลี้ยวเข้าซอย ไปค่ายอพยพชาวธิเบต (Tibetan refugee camp หรือ Tashiling handicraft center) มีงานทอพรมสาธิตให้ดู พรมพวกนี้ทำแล้วส่วนมากส่งออกไปอเมริกากับยุโรป ลายสวยๆทั้งนั้น เข้าไปเดินในโชว์รูมได้ อยากซื้อก็ได้ เห็นพวกฝรั่งเขาซื้อกัน แต่พี่ไทยขอถ่ายภาพแล้วกลับไปซื้อเสื่อแถวบ้านปูพื้นดีกว่า...

           หมดโปรแกรมแล้ววันนี้ เพิ่งมาเห็นวันหลังว่า ทำไมเจ้าอารบินไม่ได้พาไปวัดบินดาบาสินีฟระ ในรายการเขียนไว้ (แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร เพราะวันหลังเจ้าบินพาไปโน่นไปนี่ นอกโปรแกรมหลายที่) ว่างอีก เลยเดินไปริมทะเลสาปอีก วันนี้แสงค่อยดีหน่อย เดินเล่นไปสุดหัวถนนท้ายถนน จบลงที่ร้านกาแฟเหมือนเดิม คืนนี้กินอาหารตามสั่งร้านสวยๆฝั่งตรงข้ามทะเลสาป กินไปดูหงส์แดงสอยนิวคาสเซิลของท่านนายกอภิสิทธิ์ไป 3-0 เจ้าอารบินเลยเปิดเผยตัวว่าเป็นแฟนผีแดง แถมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากบอกว่าแมนยูจองแชมป์ 3 ปีรวดแล้วครับพี่...กร๊ากๆๆๆ... เลยคิดว่าจะตัดค่าทิปสัก 25% เพราะไม่สบอารมณ์

เนื่องจากวันนี้ฟ้าเริ่มเปิด หิมาลัยโผล่มาให้ชม เราเลยก่อม็อบชักชวนเพื่อนๆพี่ๆเหมารถไปซารังกอตกันอีกสักรอบมั๊ย เรา 2 คนคงไปแน่ๆแท็กซี่ก็ได้ ถ้าคนอื่นเอาด้วยก็เอารถตู้ไป สรุปว่าสนใจไปกันหมด เจ้าอารบินเลยเหมารถตู้มาให้ ที่ต้องเหมารถเองเพราะตาบารัทต้องกลับกาฏมาณฑุคืนนี้ เพื่อไปรอรับเราที่สนามบินกาฏมาณฑุพรุ่งนี้ตอนเที่ยง เราไม่กลับรถแต่บินกลับ....โฮ่...ฟังดูทรมานจัง ....ขอบ่น.....ค่าเหมารถตู้แพงเอาการ แค่ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า พี่แกคิดประมาณเท่าเช่ารถทั้งวันเลย....


            เหตุการณ์เหมือนเดจาวู ตีสี่ครึ่งตื่น พอตีห้าขึ้นรถไปซารังกอต เพียงแต่วันนี้ไม่มีฝน......เช้านี้ด้านบนมีแต่ ไทย ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น วันนี้แขกหาย ต่างคนต่างจับจองมุมกันตามสะดวก.....เมฆยังเยอะ แต่พระอาทิตย์ก็ทำงาน แม้จะโดนเมฆบังไปบ้างก็ยังโผล่มาให้เห็น หิมาลัยเจ้าเอย.....พอมาให้เห็นเป็นช่วงๆ หางปลาเจ้าเอย......โผล่มาอย่างรางๆเลือนๆ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว แม้ไม่คุ้มเงินค่าเช่ารถเต็มร้อย แต่ก็ได้สัก 50% ล่ะน่า...ได้แต่จินตนาการกันไปว่า ถ้าฟ้าเปิดมองเห็นวิวเทือกเขาอันนาปูรณะ (Annapurna I-IV) เห็นยอดหางปลา (Fish tail) ยาวต่อเนื่องกันรอบด้าน คงช็อคตายคาซารังก็อตเป็นแน่.....

          เราลงจากวิวพอยต์แทบจะเป็นคนสุดท้าย ดูให้ซึมซาบกันไปเลย ระหว่างทางลงเขา เห็นเด็กๆเดินกันลงมาเป็นแถวเพื่อไปโรงเรียน เย็นเลิกเรียนก็คงเดินขึ้นเขากลับบ้านกัน เป็นอย่างนี้อาทิตย์ละ 6 วัน เพราะที่เนปาลเขาหยุดวันเสาร์วันเดียว โรงเรียนเข้าสายเกือบสิบโมง เลิกสีโมงเย็นได้...เหนื่อยแทน

          ลาก่อนหิมาลัย ลาก่อนโพครา อาบน้ำแต่งตัวออกไปสนามบินโพคราตั้งแต่ เก้าโมงครึ่ง เพื่อขึ้น Yeti airlines กลับกาฏมาณฑุเที่ยวสิบเอ็ดโมง รอไปรอมาได้บินจริงๆก็เที่ยงกว่า พี่บารัทโทรตามอารบินเลยเพราะไปนอนรอหน้าสนามบินแล้ว...ตามคำแนะนำของใครๆบอกว่า ถ้าบินจากโพครากลับกาฏมาณฑุจงเลือกนั่งด้านซ้ายมือ คุณจะได้มองวิวเทือกเขาหิมาลัยอันน่าประทับใจ พวกเราจึงขนของไปจ่อหน้าประตูทางขึ้นเครื่องกัน ไกด์เนปาลอีกคนพาลูกทัวร์ญี่ปุ่นผัวเมียมาทีหลัง เข้าแทรกด้านหน้าทันทีซุบซิบๆกัน พอเขาเปิดประตู ท่านเล่นดันตัวผัวมาแทรกหน้าเลย บ๊ะ.....แถมหัวเราะชอบใจยกใหญ่ที่แซงพวกเราได้ น่าตบกระโหลกจริงๆ ตัวผัวนี่ใช้ได้เลย ทิ้งเมียไว้ด้านหลัง หลังกลุ่มเราไปอีก.....แหม๊....ทำไปได้ สรุปแล้วพวกเราทุกคนได้ที่นั่งด้านซ้าย รวมทั้งผัวเมียญี่ปุ่นด้วย ตาผัวได้ที่นั่งแถวแรกเลยแต่เจ๊แกได้ตรงปีกบังวิวเต็มๆ เลยหน้าตาไม่สบอารมณ์ ช่วยไม่ได้ผัวเจ๊ยังทิ้งเจ๊เลย....  ฟาดฟันกันมาได้ก็สบายใจ แอร์โฮสเตสแจกลูกอมและสำลีไว้อุดหู (ก็เครื่องใบพัดน่ะ) take off ปุ๊ป...ฮ่าๆๆๆ วิวด้านซ้ายเมฆสวยจริง.....หิมาลัยอยู่ไหนฟระ...แย่งกันแทบตาย....โธ่...

            บินไปแค่ 20 นาทีก็ถึงแล้วกาฏมาณฑุ บารัทยิ้มเผล่รออยู่ที่ลานจอดรถ เจ้าบินบอกว่าตอนเครื่องขึ้นมองเห็นถนนด้านล่างรถติดยาวเป็นกิโล ถ้าเรากลับรถ คงติดแหง่ก....พี่บารัทก็บอกว่าเมื่อกลางดึกที่กลับมาก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงมาก รถติดเพราะมีประท้วง .....นั่นไง...มาให้ถึงเนปาล ต้องเจอประท้วง

            มื้อเที่ยงวันนี้เป็นอาหารญี่ปุ่นร้าน Kotetsu อารบินว่าอร่อยสุดแล้วในกาฏมาณฑุ ทัวร์นี้แปลกดีมีอาหารหลากหลายมาก....กันเบื่อ กินเบนโตะคนละเซ็ตอิ่มแปร้ มองไปรอบร้านเห็นเขาแขวนป้ายที่คนเขียนชมไว้เยอะแยะ สงสัยพวกคนดังมาชิม บอกอารบินว่าอยากเขียนบ้าง มันไปบอกเขาจริงๆ เจ้าของร้านก็บ้าจริงเอามาให้เขียนด้วย.....เขียนภาษาอังกฤษชมไปนิดหน่อย เปิ้ลเขียนภาษาญี่ปุ่นได้เลยเขียนชมไปว่าโออิชิ พอเจ้าอารบินคนเนปาล มันเขียนภาษาไทย !! แถมเป็นภาษาใต้ด้วย มันว่า อาหารหรอยมาก...ฮ่าๆๆๆ เอากะมันสิ.......ใครไปร้านนี้ช่วยดูด้วยว่าเขาติดไว้มั๊ยหรือพอเรากลับมันก็โยนทิ้ง..555

            อิ่มแล้วเราไปปลงกันที่วัดปศุปฏินาถ (Pashupatinath Temple) ริมแม่น้ำบัคมาตี แม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์ของเนปาล ตัววัดสร้างมาร่วมสามร้อยปีแล้ว ชาวเนปาลจะนำศพมาเผาที่เชิงตะกอนริมแม่น้ำ มีขั้นตอนและข้อกำหนดต่างๆหลายอย่าง มีแบ่งโซนของวรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์และแพศย์ ส่วนพวกจัณฑาลก็ลงไปปลายๆแม่น้ำโน่น ด้านล่างของแม่น้ำจึงมีพวกจัณฑาลอยู่กันมากมาย เจอพวกเด็กๆและคนเดินขอเงินทั่วไปหมด ไฮไลต์ของที่นี่คือ นักบวชหรือฤษีหรือโยคี แล้วแต่จะเรียก จะมีบริเวณที่ทางการจัดไว้ให้พวกโยคีเหล่านี้พักรวมกัน เหมือนอาศรมเลย พักหลับนอนหุงหาอาหารกันเป็นล่ำเป็นสัน เวลานักท่องเที่ยวเดินเข้าไปแกก็จะกระปรี้กระเปร่า จัดท่าจัดทางให้ถ่ายรูปอย่างดี แต่ต้องจ่ายค่าตัวให้แกคนละนิดละหน่อย ทำกันจนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว นอกบริเวณก็ยังมีโยคีแต่งตัวแต่งหน้าเดินกันรอบวัดให้ถ่ายรูปเยอะไปหมด ไม่รู้ไหนตัวจริงไหนตัวแสดงแทน นอกจากโยคีแล้วไฮไลต์อีกอย่างคือการเผาศพ ทุกวันจะมีการเผาศพที่ริมน้ำอยู่ตลอด ตายเมื่อไหร่ก็เอามาเผา เสื้อผ้าถอดทิ้งไปเป็นการบอกว่าเมื่อเราตายแล้วเราก็กลับไปแต่ตัวเปล่า ดังนั้นเมื่ออยู่เจ้าจะขวนขวายเอาอะไรกันนักหนา....

            เดินดูโยคีได้ไม่นานเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลูกเห็บตก ตกเป็นลูกๆเม็ดๆกันเลย...วิ่งหลบลูกเห็บกันเข้าไปในศาลาอุตหลุด เจ้าอารบินเลยฉวยเอาความดีความชอบ บอกว่าของแถมนะพี่ ทัวร์อื่นไม่ได้เห็น...เอากะมัน....ตอนนั่งรถมาเราขู่อารบินไว้ว่าไปถึงวัดแล้วถ้าไม่มีศพ เธอต้องไปหาศพมานะ ฉันอยากดูพิธีเผาศพ พอมาถึงเจ้าอารบินเลยยิ้มเผล่บอกว่า พี่ครับ โชคดีวันนี้มีคนตาย....แหม....ประชด จริงๆแล้วอารบินบอกว่า มีศพเผาตลอดเวลาแทบไม่เคยว่างเลย กษัตริย์พิเรนทราที่ตายจากเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ก็มาทำพิธีเผาที่นี่เหมือนกัน เราเดินฝั่งตรงข้ามดูการเผาศพกันไปตลอดตามความยาวของวัด ข้ามฝั่งแม่น้ำไปบริเวณวัด พื้นที่ส่วนวัดฮินดูที่หลังคาเป็นทอง 2 ชั้นสวยมาก แต่เข้าได้เฉพาะคนนับถือฮินดู เดินเลาะริมแม่น้ำเฉียดเชิงตะกอนกันเลย ย้อนกลับไปขึ้นรถ......ปลงกันหรือยัง

             คืนนี้เราจะออกนอกเมืองกาฏมาณฑุ ไปค้างกันที่ยอดเขานากากอต (Nagarkot) นั่งรถออกไปทางเดียวกับเมืองภัคตาปูร์ ประมาณ 30 กม. สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2500 กว่าเมตร ทางขึ้นเขาก็แสนแคบแต่พี่บารัทไม่หวั่นสาดโค้งไปได้อย่างรวดเร็วแค่ 2 ชม.ก็ถึงแล้วที่พักของเรา Country villa nagarkotไปถึงแล้วประทับใจสุดๆ แม้ฟ้าจะไม่เปิดเท่าไหร่ แต่บรรยากาศดีมากๆ ที่พักอยู่เชิงผามองไปได้ไกลๆ อากาศก็เย็น ตัวที่พักก็จัดได้น่ารัก จิบชาอุ่นๆนั่งมองวิวระหว่างรอเช็คห้อง แค่นี้ก็สุขแล้ว


           ตีห้ากว่าแทบไม่อยากลุกจากเตียงแสนอุ่นนุ่มสบาย แต่เริ่มเห็นแสงรำไรๆที่ระเบียง อดใจไม่ได้ต้องออกไปชมวิวที่ระเบียง....โอ้ว.....งาม....แค่นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นจากที่ระเบียงห้องก็งามแล้ว มีหมอกลอยอยู่ในหุบเขาด้านล่างพอประมาณ มองเห็นทิวเขาเหลื่อมล้ำกันลิบๆ ฟ้ายังมีเมฆเยอะ แต่พระอาทิตย์ก็ยังฉายแสงออกมาในที่สุด....

          จิบกาแฟ ขนมปัง ชมวิวยามเช้าเสร็จแล้ว มีเวลานิดหน่อยเลยไปดูนกกัน ละแวกนั้นมีเหยี่ยวเยอะจริงๆ บินกันให้ว่อน ยังมีนกเขาหัวจุกด้วย อีกานี่มีทุกที่ในเนปาลอยู่แล้ว ยังมีนกสีฟ้าอีกไม่รู้อะไรมองไม่ชัด หมดเวลาชมนก ออกเดินทางลงจากเขา ผ่านทุ่งข้าวบาเล่ย์ที่ชาวนากำลังเก็บเกี่ยวกับตลอดทาง ลงมาแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว ภัคตาปูร์ (Bhaktapur) เมืองเก่าแก่อีกเมืองของหุบเขากาฏมาณฑุ อารบินพาเราเริ่มเดินเข้าสู่ ภัคตาปูร์ดูบาร์ สแควร์ (Bhaktapur Durbar Square) ไล่เรียงไปตามอาคารต่างๆ ที่สวยงามด้วยลวดลายไม้แกะสลัก ทั้งบานประตู บานหน้าต่าง ทั้งคันทวยทุกอัน โดยเฉพาะเข้าไปในส่วนของ พระราชวัง โดยผ่านประตูทองเข้าไป ด้านในมีวัดฮินดูที่ห้ามถ่ายภาพ จะมีลายสลักที่หน้าประตูงามมากกกกก...งามจริงๆ ไม่อยากคิดเลยว่าด้านในจะยิ่งสวยขนาดไหน ห้ามเข้าและห้ามถ่ายภาพแม้แต่ด้านหน้าประตู มีทหารเฝ้าอยู่ด้วย แต่อนุญาตให้โผล่หน้าเข้าไปมองด้านในได้ จากนั้นเดินไปดูจนถึงสระสรงน้ำของกษัตริย์ ด้านบนมีรูปหล่อเป็นงูใหญ่ชูคออยู่ กลับออกมาถ่ายภาพหน้าต่างลวดลายไม่ซ้ำกันของ 55 พระแกล ผ่านเทวาลัยต่างๆทั้งเก่าทั้งสวย เดินต่อเรื่อยเข้าไปในเมือง ทะลุออกไปตามตรอกซอกซอยที่มีบ้านเรือนอนุรักษ์รูปแบบดั้งเดิมไว้ ใครจะสร้างบ้านซ่อมบ้านก็ต้องคงไว้ตามแบบดั้งเดิม ชาวบ้านยังใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมๆ มันคือพิพิธภัณฑ์มีชีวิตนี่เอง...สุดยอด

          อารบินพาเราเดินลัดเลาะไปจนถึง wood carving museum แล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าตรอกเล็กๆไปดูหน้าต่างนกยูง (Peacock window) อืมมม...มันก็สวยดีนะ แต่มันดังยังไง ทำไมดังก็ไม่รู้ แล้วก็เดินย้อนกลับคราวนี้ผ่านไปทางลานหน้าวัดนยาตะโปลา (Nyatapola Temple) ที่ใครๆก็สั่งนักสั่งหนาว่าต้องขึ้นไปบน Nyatapola café ฝั่งตรงข้ามเพื่อถ่ายภาพมุมสูง แต่อารบินบอกว่าเรากินข้าวเที่ยงกันที่นี่เลยครับ แจ่มน่ะซิ ขึ้นไปชั้น 2 ของร้านเลือกนั่งที่ระเบียงรอบนอก โต๊ะเล็กๆแคบๆโต๊ะละ 2 คน นั่งกินอาหารไปมองดูผู้คนเคลื่อนไหวไหลไปมาด้านล่าง มองเห็นวัดนยาตะโปลาและวัดไภราพวนาถ (Bairapnath temple)ในมุมสูง บรรยากาศดีจริงๆ...ส่วนอาหารก็แค่พอใช้ได้..

          บ่ายๆ เราเดินเลยไปดูหมู่บ้านปั้นหม้อ อาชีพหลักแถบนี้คือปั้นเครื่องปั้นดินเผา จะเห็นหม้อ ไห โถ ดินเผา นำมาวางตากไว้เต็มลาน ใครถ่ายรูปชาวบ้านที่ปั้นหม้ออยู่ก็ดูให้ดี บางคนเขาคิดว่าถ่ายหนังเรื่อง Ghost อยู่ เพราะแกเล่นขอเงินค่าเป็นแบบซะงั้น...ขากลับก็เดินชมเมือง ช๊อปปิ้งไปเรื่อยๆ กลับไปรถเพื่อกลับเข้ากาฏมาณฑุ แต่แรกอารบินอยากพาเราไปนอนที่ Dhulikhel คืนนี้ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ คือรถสิบล้อไปทับคนตาย ตำรวจเขาเลยปิดถนนไล่จับคนร้าย เลยไปไม่ได้ เอ้อ...เอากะเขาซิเนปาล

          กลับถึงกาฏมาณฑุ ต่างคู่ต่างแยกย้ายกันไป บ้างช๊อปปิ้ง บ้างนอน เรา 2 คน เริ่มเดินสำรวจย่านทาเมล เลาะไล่ลงไปเรื่อยๆ ผ่านตลาดเย็นหลายแห่ง ผู้คนเยอะแยะดูสับสนวุ่นวายดี....เราเดินกันไปเรื่อยๆ กำลังถ่ายรูปแม้ค้าขายผัก ได้ยินนกหวีดปรี๊ดๆๆ ลั่นถนน มองไปอีกทีเห็นตำรวจเดินมาเป็นขบวนแม่ค้ายกแผงขายของที่พื้นหลบกันจ้าละหวั่น นึกว่าเทศกิจมาซะอีก ที่ไหนได้หลังขบวนตำรวจเป็นขบวนประท้วงเดินกันมาเป็นแถวเป็นแนว โบกธง ตะโกนประท้วงกันให้ลั่นฟังไม่ออก การประท้วงที่เนปาลนี่คงมีบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ คนประท้วงก็เดินไป แม่ค้าก็ขายของไป คนซื้อก็ซื้อไป นักท่องเที่ยวก็ดูไป เราสองคนเลยเดินตามขบวนเขาไปด้วย ถ่ายรูปไปเรื่อย ขบวนยาวน่าจะเป็นหลายพันคน เดินไปจนถึง Indra chawk ไม่ได้ไปต่อ คงต้องกลับแล้วเพราะมีนัดกินข้าวเย็นแถบทาเมล ขบวนก็ยังเดินต่อไปเข้า New road...

          รีบกลับไปโม้ให้เจ้าอารบินฟังว่าไปร่วมขบวนประท้วงมา อารบินได้แต่ส่ายหัวคงคิดว่าพวกนี้บ้าหรือเปล่า...ฮ่าๆๆ...  อาหารเย็นมื้อนี้เป็นอาหารไทยที่ร้านครัวไทยบริเวณทาเมล พิกัดร้านเลยร้านหนังสือ Pilgrim อันโด่งดังไปไม่ไกล อาหารไทยรดชาดดีมาก ไม่อร่อยอย่างเดียวคือส้มตำ นอกนั้นแจ่ม ทั้งผัดกระเพรา ไข่เจียว ต้มยำ กินกันยังไม่อิ่มดี ไฟดับพรึ่บ (อีกแล้ว) สักพักไฟมาเจ้าอารบินบอกว่าสงสัยพายุจะเข้า..เออ มันรู้ได้ไง มันว่าไฟเตือน เราไม่เข้าใจหรอก แต่รีบคิดเงินแล้วเผ่นกันดีกว่า เดินไกลพอควรกว่าจะถึงที่พัก ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆแต่ลมกระโชกแรงตลอดทาง ระหว่างทางกลับผ่าน café เล่นดนตรีสดแห่งหนึ่ง เล่น Have you ever seen the rain? ประชดซะงั้น วิ่งไปขำไป...


            วันนี้ตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะเรามี mountain flight ชมหิมาลัย ต้องตื่นกันแต่ตีสี่ครึ่ง ออกไปรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน มี 2 คนไม่ไป ก็ไปกันแค่ 4 คน อารบินไม่ได้เข้าไปด้วย ต้องไป check in กันเอง อารบินว่าไม่มีระบุเลขที่นั่ง แต่พอได้ boarding pass มันมีเบอร์นี่หว่าเห็นเลขกลางๆเครื่อง โอ้ว...ไม่เอาครับติดปีก ขอหน้าหรือหลังไปเลย พี่แกเลยเปลี่ยนให้เป็น 1A 1C 3A 3C ก็โอเค...รอแล้วรอเล่า ไม่มีป้าย ต้องคอยฟังเรียกเอา ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็เกือบเจ็ดโมง วันนี้มี mountain flight ออกตั้ง 3 ลำ เราได้ลำสุดท้าย เครื่องที่ใช้ก็เหมือนกับเครื่องที่บินกลับจากโพครานั่นแหละ เพียงแต่เขาขาย seat เฉพาะซ้ายขวาติดกระจก ที่นั่งของเรา 4 คนอยู่หน้าสุด ดีที่สุดในลำ ที่ 2A มันไม่มีกระจกเขาเลยเว้นไว้ 4-5-6 มันติดปีกพวกญี่ปุ่นได้ไป ขึ้นมานั่งร้องจ๊าก...ที่ด้านหลังถ่ายไปข้างหน้าก็ติดปีก ต้องถ่ายตรงๆกับย้อนหลัง พวกเราโชคดีไปที่ได้ที่ดี แต่กระจกมันไม่สะอาดเท่าไหร่เลย ในตั๋วเขียนว่า extra clear window แต่จริงๆเด็กเช็ดกระจกตามสี่แยกบ้านเรายังเช็ดสะอาดกว่า ที่ฝั่งซ้ายจะเห็นหิมาลัยก่อนแล้วค่อยวนกลับให้ฝั่งขวาเห็นบ้าง เริ่มออกบินไม่นาน แอร์ก็มาเชิญชวนให้แต่ละคนเข้าไปมองวิวในห้องนักบินได้ ดีแฮะ เพิ่งเคยเห็นมุมมองของนักบินมันช่างเวิ้งว้างพิกล กัปตันชี้ให้ดู โน่นไง everest โอ้ว.....สวยงามจริง ไม่ต้องปีน บินดูเอานะเรา กลับมานั่งที่ปล่อยคนต่อไปเข้าไปบ้าง บ้างเดินไปห้องนักบิน บ้างขยับไปขอดูหน้าต่างคนอื่นที่ดีกว่า แอร์ก็เดินคอยชี้บอกชื่อยอดเขาต่าง ดูวุ่นวายยังกะรถทัวร์ ได้ยินเสียงแชะๆๆๆข้างหู หันไปเจอเจ๊ฝรั่งคนหนึ่งที่แกคงห่วยมาก แกเลยโดดมานั่งข้างๆ เอาเลนส์เสียบเฉียดหูเรามายิงรูปไม่ยั้ง แชะๆๆๆๆๆ จากที่เราถ่ายแต่พอประมาณ เหมือนโดนกดดันว่าหล่อนได้ที่ดีทำไมถ่ายน้อย เลยยกกล้องยิงไม่ยั้งบ้าง แข่งกันไปเลย 45 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนได้ประกาศนียบัตร 1 ใบเซนต์ชื่อโดยกัปตันถือลงเครื่องมาหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน อย่างน้อยเราก็ได้เห็นหิมาลัยเต็มๆตาล่ะ......

          กลับโรงแรมไปอาบน้ำอย่างชื่นมื่น เช้านี้อากาศสดใส แดดแจ๋ เริ่มตะลุยกาฏมาณฑุที่ เจดีย์สวะยัมภูนาถ (SwayambhuNath) สัญญลักษณ์อีกแห่งของกาฏมาณฑุและประเทศเนปาล บางคนเรียกว่าวัดลิงเพราะมีลิงอยู่เยอะ เราไปแต่เช้าลิงยังไม่ยั้วเยี้ยคงยังขี้เกียจ ขนาดบ่ออาบน้ำลิงยังไม่มีลิงเลย อารบินเลยเสียหน้านิดหน่อย ที่พวกเราไม่ค่อยเจอลิง...จ่ายค่าบัตรแล้วก็ต้องเดินขึ้นบันไดนิดหน่อยเพื่อขึ้นไปบนวัด ขึ้นไปด้านบนมีร้านขายของมีบ้านคนอยู่ด้านบนรอบๆวัดด้วย ไม่ใช่มีแค่วัด ขึ้นไปถึงช่วงแรกจะเจอโบสถ์หลังหนึ่งด้านในจะมีประตูอีกบานที่ปิดไว้ไม่เคยเปิดเลย อารบินเล่าว่า เขาบอกกันว่าหลังประตูนี้มีทางเชื่อมเดินไปถึงอีกเมืองหนึ่งได้ มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งได้ใช้ทางนี้ไปแต่ยังไม่กลับมา (หลายร้อยปีแล้ว) ชาวบ้านเชื่อกันว่าท่านจะกลับมาสักวันหนึ่ง ก็สงสัยว่าทำไมไม่เปิดประตูรอล่ะ.... เจ้าอารบินไม่ตอบ เอาแต่หัวเราะ...เหอๆๆ

          ผ่านเลยไปก็จะพบกับสถูปทรงโอคว่ำอันใหญ่ยักษ์ พร้อมดวงตาแห่งธรรมจ้องมองอยู่ทั้ง 4 ด้่าน ลักษณะคล้ายเจดีย์โพธินาถที่ไปวันแรก ลักษณะต่างกันที่ปล้องไฉนเหนือดวงตาแห่งธรรมที่สวะยัมภูวนาถนี้จะเป็นทรงเหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไป 13 ชั้นและมีแผ่นกะจังวาดลวดลายทั้ง 4 ด้านด้วย ในขณะที่เจดีย์โพธินาถมีปล้องไฉนทรงกลมซ้อนเป็นวงขึ้นไป 13 ชั้นเฉยๆ....... เจดีย์สวะยัมภูนาถนี้เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาลทีเดียว เล่ากันว่าสร้างมาสองพันกว่าปีแล้ว...โอ้โห...นานมากๆ แม้ผ่านแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงเมื่อหลายปีก่อนก็ยังคงอยู่ได้ มีทางขึ้นอีกทางหนึ่งต้องเดินขึ้นบันไดมา 365 ขั้น จะตรงขึ้นมาตรงหน้าเจดีย์ได้เลยแต่มองแล้วค่อนข้างชันทีเดียว นอกจากได้มานมัสการองค์เจดีย์แล้ว บริเวณรอบๆวัดยังเป็นจุดชมวิวเมืองกาฏมาณฑุได้อย่างดีเชียว วันอากาศดีๆฟ้าเปิดจะมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ชัดเจนตลอดแนว แต่วันนี้เมฆเยอะ (อีกแล้ว!!)

          ลงจากเขามาก็เข้าร้านอาหาร (อีกแล้ว) มื้อนี้เป็นอาหารจีน เมนูเต็มโต๊ะเหมือนเคย หลังอาหารแวะเข้าซุปเปอร์มาเก็ตซื้อไอติมกระป๋องกินแก้ร้อน ไอติมรสวานิลาอร่อยมันดีใช้ได้แต่เหลวไปหน่อย จากนั้นอารบินพาออกนอกเมืองไปอีก เพื่อไปวัดพุทธนิลกัณฐะ (Budhanilkantha) วัดฮินดูชานเมืองที่มีรูปสลักหินพระวิษณุองค์ใหญ่นอนอยู่กลางบ่อน้ำโดยมีงูพันอยู่รอบองค์ ดูแล้วรู้สึกถึงความสวยงามและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน บริเวณวัดมีผู้นับถือศาสนาฮินดูเข้ามาทำพิธีและสวดมนตร์กันเต็มไปหมด หลายคนลงไปทำพิธีกันริมบ่อน้ำเลยก็มี

          จากนี้เราจะไป กาฏมาณฑุดูบาร์ สแควร์ (Kathmandu Durbar Square) กัน รถย้อนกลับเข้ากลางเมือง ตัวเมืองวันนี้เต็มไปด้วยตำรวจพร้อมอาวุธยืนรักษาการณ์เต็มทุกแยก ดูๆไปชักหวั่นใจในสถานการณ์แฮะ แต่อารบินบอกว่าไม่มีอะไรพี่... ระหว่างทางผ่านนารายัณหิตี ดูร์บาร์ (Narayanhity Durbar หรือ Narayanhiti Royal Palalace) ที่เคยเป็นพระราชวังหลวง ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เพราะเนปาลเพิ่งจะล้มเลิกระบอบกษัตริย์ไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง เลยไล่กษัตริย์ออกจากวังยึดมาทำพิพิธภัณฑ์ซะ รายละเอียดมันซับซ้อนขี้เกียจจะเล่า หวังว่าวันไหนมีเวลาเหลือจะมาเข้าชมให้ได้ รถผ่านต่อไปจนถึง New road ถนนสายหลักของเมือง ผ่านตุนทิเขล (Tundikhel) ดูคล้ายสนามหลวงบ้านเราไปถึงจุดลงรถท้องไส้เริ่มปั่นป่วนพะอืดพะอมบอกไม่ถูก สงสัยไอติมทำพิษ แต่ยังพอทนไหว เดินตามอารบินเข้าไปในดูบาร์สแควร์ จุดแรกที่เข้าไปคือวังกุมารี (Kumari bahal) จริงๆแล้วคือบ้านที่กุมารีอยู่ ลอดผ่านช่องประตูเข้าไปเป็นลานขนาดกลางๆ แหงนหน้ามองช่องหน้าต่างชั้นบนสุด หวังว่ากุมารีจะโผล่หน้ามาบ้างแต่ก็ไม่มี กุมารีจะออกมาให้เห็นบ้างในบางครั้ง แต่จะออกมานอกที่อยู่ในช่วงวันพิธีเทศกาลอินทรา ยาตรา เท่านั้น ที่เรียกว่าบ้านเพราะมีการซักผ้าตากผ้าเหมือนบ้านทั่วไป กุมารีก็มีครอบครัว เมื่อมาอยู่ที่นี่ครอบครัวก็ตามมาด้วย ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่หาความเป็นส่วนตัวคงไม่ได้

          ออกจากวังกุมารี ก็เดินเข้าไปในจตุรัส ดูอาคาร ดูเทวาลัยต่างๆ สมองเริ่มไม่สั่งการ อาการไม่ดี เดินๆนั่งๆไปเรื่อย แต่ยังตามถ่ายรูปจุดไฮไลต์ได้หมด ทั้งหนุมานโดก้า ทั้งกาฬไภราพ ทั้งวัดตาลีจู วัดฮินดู วนกลับมาตรงด้านหน้าจนได้ ชั่วโมงกว่าๆก็หมดแล้ว ใจจริงอยากขอแยกตัวเดินต่อให้ทั่วๆละเอียดๆ เพราะมีเวลา และจะเดินกลับที่พักเองเลย ใจสู้แต่ร่างกายไม่สู้เสียแล้ว วนกลับมาถึงจุดที่ลงรถโชคดีมีห้องน้ำสาธารณะแบบรถเคลื่อนที่ ขอเข้าหน่อย อารบินบอกว่าเพิ่งมีมาจอดไม่นานไม่รู้จะสะอาดหรือเปล่า จังหวะนี้คงไม่สนแล้ว เข้าไปแล้วก็สะอาดดีไม่เหม็นแต่ก็ไม่มีน้ำชักโครก เป็นแบบนั่งยอง เข้าไปถึงอาเจียรออกมาหมด ถึงกับหมดแรง ตกลงกลับโรงแรมพร้อมกันหมด นอนสลบไสลในห้องเกือบ 2 ชม. ในขณะที่คนอื่นๆคงไปช๊อปปิ้งเก็บตกของฝากกัน...

          มื้อเย็นวันนี้ อารบินพาไปร้านอาหารไทยอีกร้านที่บอกว่าอร่อยกว่าร้านครัวไทยอีก เป็นร้านคนเนปาลแต่เคยทำร้านอาหารไทยมานาน ร้านนี้อยู่ย่านไฮโซเชียว อยู่บนดาดฟ้าของห้างตรงข้ามสำนักงานการบินไทยเลย บรรยากาศดีทีเดียวยิ่งไฟดับแล้วจุดเทียนยิ่งโรแมนติคใหญ่ นั่งรออาหารไปชมทิวเขาและพระอาทิตย์ตกได้มุมหนึ่ง อาหารอร่อยจริงหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะไม่กล้ากินเลย มีคนป่วยเป็นเพื่อนอีก 1 คน อาการคล้ายๆกัน เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอติมจริงหรือเปล่าเพราะเขาไม่ได้กินไอติมด้วย แต่ทำไมอาการเหมือนกัน ตกลงได้แต่นั่งมองเพื่อนๆกินแกงเขียวหวาน หมูสะเต๊ะ ต้มข่าไก่ กันสองคนตาปริบๆ


            อารบินไกด์หนุ่มน้อยของเราเป็นหนุ่มปาตัน วันนี้จึงเป็นการเที่ยวเจาะลึกเมืองปาตัน(Patan) ช่วงที่เรามาเนปาล พอดีกับช่วงที่มีเทศกาลชักพระที่ปาตัน อารบินบอกว่าปีนี้ผู้รับเหมาสร้างไม่ดีลากไปไม่เท่าไหร่ก็เพลาหัก ตอนนี้จอดอยู่หน้าปากซอยบ้านผม รอซ่อมตัวลากใหม่ ส่วนพระก็อัญเชิญออกมาให้คนสักการะเดี๋ยวไปดูกัน ปาตันอยู่ใกล้กาฏมาณฑุเหมือนฝั่งธนฯกับกรุงเทพฯอย่างนั้นเลย นั่งรถไปข้ามแม่น้ำบัคมาตีไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว เริ่มตั้งต้นกันที่ปาตันดูบาร์ สแควร์ (Patan Durbar Square) เหมือนเดิม ขึ้นไปชมจตุรัสที่มุมสูงก่อน มองดูแล้วดูบาร์สแควร์ที่นี่ไม่กว้างเท่าที่ภัคตะปูร์และกาฐมาณฑุ แต่ดูแล้วสวยงามกว่า ลงมาเดินเข้าไปชมเทวาลัยต่างๆใกล้ๆ เห็นลวดลายสลักสวยมากๆ ที่ปาตันก็มีหนุมานโดกาเหมือนกัน โดนพอกและสาดสีแดงจนไม่เหลือเค้าโครงเหมือนกันเลย วัดและพิพิธภัณฑ์ยังไม่เปิด พวกเราเลยเดินเข้าไปวัดฮินดู (Kumbeshwor temple) ก่อน วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีเชื่อกันว่าพระศิวะจะเสด็จลงมา จึงมีคนเข้ามาทำบุญกันแน่นวัด

            ไฮไลต์อีกที่คือ วัดทอง (Hiranya Varna Maha Vihar หรือเรียกกันว่า Golden temple) เพราะเป็นวัดสีทองอร่าม ที่นี่คนใส่รองเท้าหนังต้องเปลี่ยนรองเท้าก่อน เพราะเป็นวัดฮินดูจึงไม่ให้รองเท้าที่ทำมาจากหนังสัตว์อย่างหนังวัวเข้าไปในบริเวณวัด วัดนี้มีอาของอารบินเป็นมรรคทายกเชียวนะ อารบินบอกว่าเขาก็เคยบวชที่นี่ เฉพาะคนตระกูล ศากยะ เท่านั้นจึงจะบวชที่นี่ได้ ตระกูลศากยะนี่เป็นตระกูลชาวเนวารีดั้งเดิม เป็นเนปาลท้องถิ่นแท้ บ้างก็ว่าเป็นเชื้อสายมาจากพระพุทธเจ้าเชียว ไกด์เรานี่ไม่ใช่ธรรมดานะ บวชที่วัดทองนี่แล้วก็ไปบวชที่วัดสระเรียงเมืองไทยอีก เราแซวว่าเป็นชาย 2 โบสถ์แล้วนะเรา อันนี้อารบินไม่เข้าใจ ฮ่าๆๆ... ว่าถึงวัดทองนี่ สวยงามทองอร่าม ถึงจะทาสีบ้างทองจริงบ้างก็จัดว่างาม มีงานหล่อทองเหลืองรูปสักการะต่างๆงดงามเต็มไปหมด เพราะเมืองปาตันนี่มีชื่อทางงานหล่อทองเหลืองพระพุทธรูป และรูปต่างๆ

            ออกมาถึงจตุรัสอีกรอบ พิพิธภัณฑ์เปิดพอดี จึงเดินเข้าไปวนๆดูนิดหน่อย แล้วก็มาดูรถลากชักพระที่จอดอยู่ รอซ่อมแซม แค่ล้อก็ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ดูรูปตอนลากจากมือถืออารบินแล้วใช้คนหลายร้อยคนในการลาก ตอนนี้จอดสนิทนิ่ง เดินไปอาคารข้างๆสักการะพระที่อัญเชิญลงมาชั่วคราว ผู้คนเข้ามาทำบุญกันไม่ขาดสาย ในเมื่อรถลากมาจอดแอ้งแม้งหน้าปากซอยบ้านอารบิน ก็ต้องเข้าไปเยี่ยมบ้านซะหน่อย จะได้ไปดูด้วยว่าอารบินโม้หรือเปล่าว่า “โอ๊ย...อยู่บ้านผมก็ดูได้ หิมาลัยเนี่ย” เดินเข้าตรอกไปไม่ลึกมาก ก็ถึงลานขนาดกลางๆ ล้อมรอบไปด้วยอาคาร 4-5 ชั้น หลายคนแอบมองพวกเราทางหน้าต่าง อารบินแนะนำญาติๆ นี่อา โน่นน้า เยอะแยะไปหมด คุณแม่ลงมาต้อนรับด้วย โอ้โห....ยังสาวอยู่เลย แม่ยิ้มเขิน คงสงสัยว่าทัวร์อะไรเนี่ย มาเที่ยวบ้านไกด์ พวกเราบุกกันถึงห้องนอนอารบินที่อยู่ชั้น 5 สงบเงียบเรียบร้อย วิวดี ลมเย็น น่าอิจฉานัก ขึ้นบันไดไปอีกชั้นก็เป็นดาดฟ้า มองดูเมืองปาตันได้รอบๆ มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยรางๆ ถ้าอากาศดีคงเห็นหิมาลัยตามที่โม้จริงๆแหละ นอกจากนั้นยังมองเห็นเจดีย์สวะยัมภูนาถลิบๆด้วยซ้ำ.....

          ออกทางหลังบ้าน อารบินพาเดินเจาะลึกปาตันต่อไป ผ่านวัดศรีศากยะสิงหะวิหาร (Shree shakyasingha vihara) เป็นวัดพุทธ ซึ่งเราไม่ได้แวะเข้าไป ระหว่างทางเต็มไปด้วยร้านขายเครื่องทองเหลือง รูปหล่อ และพระพุทธรูปสวยๆ เดินไปเพลินๆ อารบินพามุดเข้าซอกตึกไปชมอีกวัดคือ วัดมหาบุดดา (Mahabuddha Temple) มีเจดีย์พุทธคยาจำลองแอบอยู่ในพื้นที่แคบๆ ชาวเนปาลสร้างไว้สักการะ ไม่ต้องเดินทางไปถึงอินเดีย ลอดตรอกออกไปอีกทาง (เริ่มงงทิศทางมาก) ออกไปอีกไม่ไกล ไปเข้าที่วัดสวยอีกวัด Rudarvarna mahavihar ด้านในผังของวัดคล้ายๆวัดทอง แต่ตัวอาคารไม่ทองเท่า ที่นี่มีรูปปั้นสัตว์เหมือนจริงเยอะ เช่นราชสีห์ ลิง นก ทะลุไปหลังวัด มีเจดีย์จำลองของสวะยัมภูนาถเล็กๆด้วย จบการเจาะลึกกันที่นี่ หมดแรงกันพอดี...

          วันนี้อาหารเที่ยงช้าไปหน่อย ทุกคนหิวตาลาย โดยเฉพาะ 2 คนที่ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็นวาน อารบินพาเข้าห้างวันนี้ ห้าง Bluebird แถบปาตัน มีของแบรนด์เนมหลายอย่าง charles & kieth ยังมีเลย ห้างเงียบเชียบไม่ยักมีใครเดิน ไม่เหมือนบ้านเราคนชอบเดินห้าง ขึ้นไปชั้นบนเป็น food course เลือกสั่งกันตามชอบ food course ที่นี่แปลกดี เป็นแบบ international แต่ละบู๊ทอาหารไม่ซ้ำชาติ มีทั้ง ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อาหารเลบานอนยังมีเลย อินเดียน ปากีสถานก็มี ต่างคนต่างสั่งกัน เราขออาหารเบาๆเพราะหิวทนไม่ไหวแล้ว ลองมิโซซุป เค็มขนาดหนักเหมาะกับคนป่วยจริงๆเหมือนกินน้ำเกลือ นอกนั้นเห็นบอกว่าอร่อยใช้ได้กัน ทั้งพิซซ่า ข้าวหน้าไก่ หรือที่อารบินแนะนำไม่รู้ใส่อะัไรบ้างเรียกว่าโรล ที่มันเป็นแป้งแบบโรตีใส้ไส้ม้วนมา เห็นกินกันเอร็ดอร่อยดี

         คืนนี้ไปนอนที่ Dhulikhel เมืองเล็กๆบนเขา ซิ่งรถออกไปจากกาฏมาณฑุแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ผ่านตัวเมืองดุลิเคลก่อน แต่เราเลยขึ้นเขาไปอีกหน่อยไปพักที่ Dhulikhel Mountain Resort ที่พักน่ารักอีกแล้ว มองเห็นวิวเทือกเขาได้กว้างไกล เก็บของเข้าที่พักแล้ว อารบินบอกว่าเราจะเดินไปเที่ยวหมู่บ้านกัน เออ...วันแข็งแรงไม่ยักพาเดินนะพ่อหนุ่ม แต่มีหรือจะไม่สู้ เริ่มออกเดินตอนสามโมงกว่าๆ มีพนักงานโรงแรมเป็นไกด์ท้องถิ่นพาเดิน เพราะอารบินก็ไม่เคยเดินเหมือนกัน ไกด์บอกให้เอาไม้ไผ่ไปด้วยเอาไว้เป็นไม้เท้า...โห...สงสัยจะชันวุ๊ย เดินเลาะขึ้นเนินหลังโรงแรมเรื่อยๆ ทางเดินสบายออก ขึ้นๆลงๆไม่ชันเลย อยากเขวี้ยงไม้ทิ้ง ระหว่างทางสวนกับเด็กนักเรียนเลิกเรียนเดินกลับบ้าน เลยแจกขนมไปตลอดทางยังกะซานตาคลอส นอกจากนั้นก็เจอพวกผู้หญิงแบกคนโทเพื่อไปตักน้ำด้านล่างกันเป็นแถว สงสัยอยู่ว่าทำไมมีแต่ผู้หญิง อารบินบอกว่าผู้ชายทำไร่ไงพี่ แหม....รีบแก้ตัว ยังมีทหารหนุ่มอีกที่เดินกันเป็นแถว สงสัยไปฝึกเดินทางไกลกันมา หน้าตายังละอ่อนทั้งนั้นเลย เดินลัดเลาะเข้าไปตามหมู่บ้าน ชาวบ้านน่ารักดี คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ชี้โบ๊ชี้เบ๊เอา เด็กๆเซย์ฮัลโลตลอด อุ้มแพะมาอวดก็มี บ้านส่วนมากเป็นบ้านดินสร้างได้น่ารักดี เดินกันไปจนถึงโรงเรียนประจำหมู่บ้าน โห...สงสารเด็กเลย ต้องเดินขึ้นๆลงๆอย่างนี้ทุกวัน

           ระหว่างทางเดิน มองวิวเทือกเขาไปได้ตลอดทาง แม้ไม่เห็นหิมาลัยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ (เศร้า) แต่ก็เห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนด้วยเงาของแดดอ่อนๆสวยชมัด ด้านล่างคือทุ่งราบกลางหุบเขา ขากลับได้พวกเพิ่มเป็นหนุ่มน้อย 2 คนเดินตามพวกเราไปตลอด ฝึกภาษาอังกฤษกัน จริงๆก็พูดเก่งแล้วทั้งคู่ เลยสอนภาษาไทยให้แทน เก่งแฮะ..ออกเสียงได้ถูกด้วย เดินคุยกันไปตลอดทาง ไปคุยกับคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ฮาไปเรื่อย เดินไปจนถึงเนินด้านหลังรีสอร์ท นั่งรอดูพระอาทิตย์ตกกัน บรรยากาศดีจริงๆ โม้กันจนพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาจึงร่ำลากัน พวกเรากลับที่พักไปดินเนอร์มื้อหรู พนักงานเขาดูเป็นมืออาชีพมาก ทานซุปไม่หมดก็ทำหน้าฉงน main course เป็น mix grilled จานใหญ่เบ้อเริ่ม ทานไม่หมด ฮีรีบมาถามทันที อาหารเป็นยังไง ต้องรีบบอกว่าอร่อยแต่ไอไม่ไหวหรอกกระเพาะเล็ก ฮีถึงเก็บกลับไปอย่างสบายใจ


             ตีห้ากว่าๆตื่นมาดูพระอาทิตย์ลูกที่ตกเมื่อวาน รอดูมันขึ้นมาอีกรอบ เป็นกิจกรรมที่บางคนไม่เข้าใจว่าดูไปทำไม (วะ) พระอาทิตย์ขึ้นๆลงๆ ออกมากางขาตั้งรอที่ลานห้องอาหาร วิวกำลังงาม เมฆเยอะฟุ้งไปหน่อย แต่แสงก็สวยงามใช้ได้ นึกว่าบ้าคนเดียว หันไปอีกทีมากันทุกคนแหละ ขนาดอารบินยังโผล่มาดูเลย นั่งถ่ายภาพจนพระอาทิตย์ขึ้นมาแสงจ้า วางกล้องหันมาตั้งสภากาแฟถกกันเรื่องการเมืองอยู่พักใหญ่ อารบินออกความเห็นได้ด้วยนะ รู้จักนักการเมืองเยอะแยะ เป็นคนไทยซะจริงๆ
อาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่เนปาล พวกเรานั่งคุยกัน แลกเปลี่ยนที่อยู่ email address กัน บางคนบอกชอบอยากมาอีก บางคนบอกเฉยๆไม่มาแล้ว สำหรับเราคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้มาเนปาลในตอนนี้ กลับใส่ชื่อเนปาลลงไปในรายการท่องเที่ยวปีหน้าอีกครั้ง ก็ต้องมาตามหาหิมาลัยนี่ ขอเห็นชัดๆเต็มๆตา ชนิดว่าเดินไปที่ไหนเมืองไหนก็มีหิมาลัยขาวๆเป็นฉากหลังเถอะ.....


ที่พัก

ที่เที่ยว

  • Kathmandu : Durbar square,วัดปศุปฏินาถ, วัดโพธินาถ, เจดีย์สวะยัมภูนาถ, วัดพุทธนิลกัณฐะ, เดิมเที่ยวชมตลอดถนนจากย่านทาเมลไปถึงดูบาร์สแควร์
  • Bhaktapur : Durbar square, Nargakot แนะนำ Chengu narayan (ยังไม่ได้ไป)
  • Patan : Durbar square, Patan museum, วัดทอง, วัดฮินดู (Kumbeshwor temple), Mahabuddha Temple, Rudarvarna mahavihar, วิวชั้น 5 จากบ้านอารบินวันฟ้าใส สวยงามแน่ๆ!!!
  • Pokhara : ล่องเรือทะลสาปเฟวา, ชมวิวหิมาลัยบนยอดเขาซารังกอต, น้ำตกเดวี่กับถ้ำพระศิวะ (เฉยๆ ข้ามได้), ดูการทอพรมศูนย์อพยพธิเบต, วัดบินดาบาสินี (ยังไม่ได้ไป แต่เห็นเป็นที่แนะนำ), จุดชมแม่น้ำเซติ, ย่านเมืองเก่าโพคราก็น่าสนใจ
  • แนะนำ Mountain flight ชมหิมาลัยและยอดเอเวอร์เรส หรือใจกล้าก็ลองเล่น Paragliding ชมวิวมัจฉาปูชะเร

ข้อมูลอ้างอิง













No comments:

Post a Comment