May 13, 2015

ชวนป๋วยทริป ตอน พา 2 สว.ลุยตุรกี

Trip : New Year 2015

Turkey


ชวนป๋วยนะ ไม่ใช่ชวนป่วย ทริปชวนป๋วยตราลูกกตัญญูคราวนี้ เกิดขึ้นเพราะสัญญากับแม่ว่าจะพาไปเที่ยวหลายปีแล้ว ติดปัญหาต่างๆนาๆมาเรื่อย จนปีนี้ตัดสินใจยังไงก็ไปล่ะ สุขภาพแม่ก็คงที่ดีแล้วด้วย แต่เราดันงานยุ่งๆ เลยต้องไปช่วงวันหยุด เอาปีใหม่นี่ละวะน่าจะไปได้ยาวหน่อย ไอ้ครั้นจะพาแม่ไปแบ็คแพ็คแบบที่เราถนัดคงไม่เหมาะ คงต้องหาซื้อทัวร์ไปสะดวกกว่า ลองหาๆโปรแกรมดู น่าสนใจตุรกี เลยถามว่าแม่เคยไปยัง แม่บอกยังไม่เคย เอ้า!ไปตุรกีกัน โทรไปชวนคุณอาอีกคน แกว่าโอเค ไปกัน 4 คนกำลังเหมาะ

เราจองทัวร์ได้โปรแกรมบินกลางวัน ขอบอกว่าทัวร์เต็มไวมากๆ ตอนแรกว่าจะจองทัวร์บินกลางคืน 28 ธันวา ถึงเช้าก็เที่ยวเลยไม่เสียเวลา แค่ไปพูดคุยกับ 2 สว.ว่าเอามั้ยโง้นงี้ ผ่านไปครึ่งวัน ทัวร์เต็มอ่ะ เลยได้กรุ๊ปถัดไปบินเช้า 29 เสียเวลาบนเครื่องทั้งวันเต็มๆวัน แต่คิดๆแล้วก็ดีแก่สว. เพราะบนเครื่องคงหลับไม่ได้สนิท ถ้าบินกลางคืนถึงเช้า หนุ่มๆสาวๆเที่ยวเลยคงดี แต่สว.คงเพลีย นี่บินเช้าไปถึงเย็น กินข้าวพักผ่อนค่อยลุยวันรุ่งขึ้น ก็ดีไปอย่าง คิดบวกไว้สบายใจ (ปล.มีคนสงสัยว่าแม่กะอาเป็นสว.ตั้งแต่เมื่อไหร่ 555 สว. นี่คือ สูงวัย หรอกนะ ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาฯอะไรหรอก ฮ่าๆๆๆๆ)




Program tour
Day 0 : Istanbul - Nevşehir
Day 1 : Nevşehir  [Cappadocia >> Kaymakli – Göreme]
Day 2 : Nevşehir – Kon ya [Mevlana Museum]
Day 3 : Konya [Pamukkale – Hierapolis] - Izmir
Day 4 : Izmir [House of Mary - Ephesus ] – Istanbul
Day 5 : Istanbul [Hippodrome - Blue Mosque - Hagia Sophia - Yerebatan Sarnici - Topkapi Palace - Grand Bazzar]
Day 6 : Istanbul [Dolmabahce Palace - Bosphorus  - Spice Market]









ใช้บริการ Turkish Airline สบายไปอย่างเพราะบินตรง ยาวๆไป 10 ชั่วโมง ขาไปเครื่องไม่เต็ม ถ้าจับจองที่ทันคงได้นอนยาว แต่เราช้ากว่าฝรั่งหัวทองว่ะ เลยอด แต่ที่นั่งก็ไม่แคบมากนะ หลับได้อยู่ เครื่องออกช่วงก่อนเที่ยงบ้านเรา บินตรงไปลงอิสตันบูล มีเสิร์ฟอาหาร 2 ช่วง อาหารว่างกับอาหารเย็น พอกินได้ ซัดปลากับไวน์ไปหลับสบาย Flight attendant ของ Turkish Airline พอเวลาเสิร์ฟอาหารนี่ได้ใจมาก ฮีใส่ชุดอย่างเชฟ บ๊ะ...ได้บรรยากาศมากๆ ชอบๆๆๆ กินแล้วนอนตื่นแล้วกินแล้วนอน 2 รอบถึงอิสตันบูลเป็นเวลาเย็นของตุรกีพอดี เพราะเวลาเค้าช้ากว่าบ้านเราประมาณ 5 ชั่วโมง




โปรแกรมของพวกเราวันนี้บินลงอิสตันบูลแล้วต่อเครื่องภายในประเทศไปเนฟเชียร์ (Nevsehir) เลย อาคารระหว่างประเทศกับในประเทศอยู่ติดๆกัน ผ่านตม.ขาเข้าเสร็จแล้วก็เดินมาอาคารภายในประเทศได้เลย กระเป๋าเช็คตรงยาวจากเมืองไทยไปแล้ว มาถึงอาคารภายในประเทศ ไกด์สาว’คุณนัท’แนะนำให้แลกเงินกันก่อนที่เคาเตอร์ PTT เพราะ rate ค่อนข้างดีและค่าธรรมเนียมถูก พวกเรา 4 คนแลกกันคนละ 100USD เพราะไม่อยากเงินเหลือมาก ถ้าไม่พอก็ใช้ $ ซื้อของได้เหมือนกัน หรือค่อยแลกเพิ่มเอา


นั่งเครื่องจากอิสตันบูลไปลงเนฟเชียร์อีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ถึงเนฟเชียร์ช่วงหัวค่ำประมาณ 2 ทุ่มกว่า สนามบินเนฟเชียร์เล็กๆกระทัดรัด ขนาดประมาณสนามบินระนอง รับกระเป๋าแล้วนั่งรถเข้าโรงแรมที่พักอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงเวลานอนพอดี วันนี้มีไกด์หนุ่มตุรกีตาหวานมาเพิ่มอีก 1 คนนามว่า Ahmed ฮีหล่อตาหวานพูดภาษาอังกฤษชัดฟังง่าย มาจากอิสตันบูล อารมณ์ขันใช้ได้







วันนี้เริ่มลุยกันที่ คัปปาโดเกีย (Cappadocia) อันนี้เราถือว่าเป็นไฮไลต์ของทริปนะ เคยดูรูปมานาน มันสวยอเมซซิ่งจริง แถบคัปปาโดเกียเค้าว่ามันเกิดมาจากภูเขาไฟระเบิดออกมาทำให้มีภูมิประเทศเป็นเหมือนปล่องหินทั่วไปหมด สวยแปลกตาดี นี่ก็ฟังคนพูดว่าสวยงั้นงี้จนยอมลงทุนหัวละ 200$ เพื่อขึ้นบอลลูนชมวิวพรุ่งนี้ด้วย แต่วันนี้ไปเที่ยวถ้ำๆกันก่อนเป็นทัวร์มุดๆ


เช้านี้อากาศดีมากๆฟ้าใสเชียว ออกมาเริงร่าหน้าโรงแรมก่อนเลย นั่งรถออกจากโรงแรมสักครึ่งชม.ก็ถึงที่เที่ยวจุดแรก “นครใต้ดิน (Kaymakli)” ที่นี่ต้องมุดๆเข้าไปดู เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของชาวคริสเตียน เมื่อยามโดนรุกรานจากพวกกรีกโรมัน เลยขุดลงไปสร้างเมืองอยู่ใต้ดินเป็นเมืองใหญ่โตพอสมควร เค้าบอกมา แต่ที่เปิดให้เข้าไปชมรู้สึกจะมีแค่ 3 ชั้น มีห้องครบทุกอย่าง ห้องนอน ห้องอาหาร ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องหมัก-เก็บไวน์  แม้กระทั่งโบสถ์ คือว่าหลบศัตรูเข้ามาก็อยู่ได้ยาวเลย ถ้าศัตรูบุกก็มีการดีดหินมาปิดช่องทางเดิน ทำไว้ชนิดป้องกันสูงสุดกันเลย อันนี้แม่กะอามุดไม่ไหว ได้แต่เข้าไปชมห้องชั้นแรก จากนั้นมุดเข้าไปมันต้องก้มเยอะทีเดียว ทางเดินก็ยาวๆ 2 สว.เลยขอถอยหลังกลับออกไปชอปปิ้งด้านนอก (ถูกใจเลย) เรา 2 คนมุดตาม 2 ไกด์ไปเรื่อย ไม่นานก็วนกลับออกมา เจอ 2 สาวช็อปปิ้งกันอย่างเมามัน ของฝากที่นี่ราคารับได้ ถ้าซื้อเยอะก็ต่อราคาเอา เราก็เหมาพวง Evil Eye มา 10 กว่าอันๆละประมาณ 2  รีลา ก็ราวๆ30 กว่าบาท  ถูกๆเหมามาก่อนเลย



ออกจาก Kaymakli ทัวร์พามาแวะจุดชมวิว มันคือตรงไหนก็ไม่รู้ (ข้อเสียของการมาทัวร์ มันคืออะไรตรงไหนนี่ไม่มีข้อมูลเลยนะ) แต่จุดนี้จะมองเห็นหุบเขาปล่องไฟงามๆได้เป็นมุมกว้าง ทัวร์มาลงกันตรึม จะถ่ายรูปต้องเอาไม้เขี่ยๆๆๆไล่คนออก 5555 พูดเล่น ก็รอจังหวะเอานะ



จากนั้นก็แวะมาโรงงานทอพรม มาทัวร์ก็ต้องงี้นะ ต้องแวะช็อปปิ้ง พรมของตุรกีนี่เค้ามีชื่อเสียงทีเดียว เห็นแล้วก็ทึ่งนะสวยจริงๆ พรมมีหลายเกรด มีทั้งฝ้าย, ขนสัตว์, ไหม บางแบบก็ผสม อันแพงสุดก็พรมทอจากไหมล้วนๆ ลองลูบดูมันนิ่มมือลื่นปรื๊ด แต่ก็แพงโหดอยู่ พรมผืนใหญ่ๆสวยๆนี่เป็นแสนบาทกันเลย มีพี่ในกรุ๊ปทัวร์ซื้อไป 2 ผืนแสนกว่าบาท ก็สวยดีนะ แต่พี่แกคงมีบ้านหลังใหญ่ๆนะ ไอ้เรามันบ้านหลังกระจิ๊ด ไม่รู้จะเอาพรมมาปูที่ไหน แค่ทางเดินยังแทบไม่มี ฮ่าๆๆๆ  เราก็เลยอาศัยเดินชมกับเต๊าะป้าทอพรมถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย




บ่ายโมงแล้ว แวะทานอาหารเที่ยง วันนี้ร้านคล้ายๆอาหารจีนแต่คงช่ำชองทัวร์ไทยเพราะมีต้มยำกุ้งกับไข่เจียวด้วย เลยกินกันได้ถูกปาก กินอิ่มทัวร์ก็พาไปช็อปปิ้งอีกล่ะ คราวนี้เป็นโรงงานเซรามิค เค้าก็สาธิตวิธีการทำให้ดู ทั้งปั้นทั้งเขียนสีทั้งเผาทั้งเคลือบ ออกมามันก็สวยดีจริงๆนะ คนโฑที่เป็นวงกลมๆนั่นถือเป็น signature ของตุรกีกันเลยนะ อิกลวงๆตรงกลางนั่นเอาไว้คล้องแขน แล้วเอียงตัวเทเหล้า โอ้วววว เพิ่งรู้ เก๋ไก๋อ่ะ อยากซื้ออันขนาดกลางมาไว้ตู้โชว์ เลือกแล้วเลือกอีกไม่ได้ดั่งใจ ขนาดได้ลายไม่ชอบ ลายสวยสีโดนก็ใหญ่ไป เล็กไป วุ้ย...อดๆ เลยเลือกเป็นอันเล็กๆมาวางในตู้สักอันพอ ของมีหลายเกรดหลายราคาเช่นกัน ถ้าระดับอจ.เขียนลายลงลายก็แพงหน่อยแต่สวยจริงมีแบบ Glow in the dark ด้วย งามมาก


ช่วงบ่ายแก่ก็ไปแวะหมู่บ้าน เกอเรเม่ [Goreme] ก็เป็นหนึ่งในหมู่บ้านแถบหุบเขาแถบคัปปาโดเจียนี่แหละ ตรงที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เรียกกันว่า  พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง – Goreme Open air museum – เพราะเป็นบริเวณที่มีการขุดเจาะหุบเขาทำเป็นโบสถ์คริสต์ เพื่อหลบการรุกรานของฝ่ายที่ต่อต้านศาสนาคริสต์ มันมีหลายโบสถ์อยู่ในบริเวณเดียวกัน เดินขึ้นไปชมได้หมด ใครขี้เกียจปีนก็เดินมาที่ลานด้านหน้าชมบรรยากาศรอบๆได้ แต่จริงๆมันไม่ได้ชันอะไรมากเลยนะ แต่ 2 สว.ก็ไม่ยอมเดิน เข้ามาได้นิดนึงก็ขอเดินกลับไปช็อปปิ้งแระ อัลไลกัน? 



เราเดินไปดูมันทุกโบสถ์เท่าที่เวลาจะมี อันเด็ดสุดที่เค้าบอกกันคือ Apple Church มันเล็กๆแต่เพราะด้านในยังหลงเหลือภาพวาดฝาผนังสีสดๆอยู่เยอะ ส่วนโบสถ์อื่นๆเหลือให้ชมนิดเดียว ไม่มีไรมากนอกจากห้องโถงโล่งๆ มีอันนึงเรียกว่า Dark Church ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อเข้าไปดู ไตร่ตรองแล้วว่าเมื่อมันมืดจะเห็นอะไร 555 เลยไม่จ่ายเดินออกมาหามุมถ่ายรูปยามเย็นจะดีกว่า

ออกมาก็มืดเสียแล้ว พอแวะจอดให้ชม หินอูฐ เลยได้เป็นรูป silhouette มาแบบนี้นะ ส่วนอิปล่องนางฟ้าเหมือนว่านั่งรถผ่านไปตอนกลางวันไม่ได้แวะลงถ่ายรูป 2 อันนี้เห็นคนชอบเขียนถึง คงถือเป็นไฮไลต์ของแถบนี้ละมั๊ง..ง


คืนนี้ยังอีกยาว เพราะมีไปกินดินเนอร์แบบตุรกีสไตล์พร้อมชมระบำหน้าท้อง (Belly dance) อันลือลั่น ร้านที่ไปเป็นร้านที่มาเช่าปล่องๆหนึ่งทำร้าน กลุ่มเรามาเป็นชุดแรกๆ นั่งกันเงียบๆ บรรยากาศพะอืดพะอมมาก เพราะเพิ่งเปิดทัวร์วันแรกนะ ต้องมานั่งรวมโต๊ะกับคนแปลกหน้า เป็นนาน 2 นาน อาหารก็ไม่มี ช่วงนี้เซ็งมากบอกเลย หาอะไรทำโดยการทดลองชิมเหล้าพื้นเมืองที่เรียกว่า ราคิ Raki วิธีกินคือ เทผสมกับน้ำเปล่า ไกด์เตือนว่าแรงมากให้ผสมแต่น้อย ทดลองแล้ว ไม่ไหวนะ เหมือนกินกระแช่ หรือพวกข้าวหมัก ยอมแพ้ ไม่สู้!



พอนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆเริ่มมาจนใกล้เต็ม ก็เริ่มมีการแสดง เริ่มด้วยการแสดงในชุดของนักบวชลัทธิลมวน (Whirling Dervishes) โดยการหมุนเป็นวงกลมตามทำนองเพลง เรียกว่าเซมา (Zema) โดยมีที่มาจากการทำสมาธิผ่านทางดนตรี และการเต้นรำ ตามแนวความเชื่อของ  'เมฟลานา' (Mavlana) ผู้ถูกยกย่องว่าเป็นเจ้าแห่งลัทธิลมวน ซึ่งเป็นลัทธิหนึ่งในศาสนาอิสลาม วันต่อไปเราจะได้ไปเยี่ยมชมสุสานของท่านเมฟลานาด้วย ไว้ค่อยเล่าที่มาที่ไปของท่านอีกที  หลังจากการเต้นเปิด Whirling Dervished แล้วก็มีเต้นๆระบำๆกันไปอีกหลายชุด สว.ทั้งหลายเริ่มง่วงแล้ว ไฮไลต์ของการแสดงก็ไม่มาสักที จนอิ่มเมนคอร์สกันไปแล้ว (อันเมนคอร์สนี่ขอบอกว่าผิดหวังไปตามๆกัน เพราะมีการให้เลือกว่า เอาปลา หรือแกะ หรือเนื้อวัว ทุกคนก็คาดหวังเสต็กอร่อยๆ พอมาเสิร์ฟมันก็เป็นข้าวกะเนื้อแบบหั่นๆมา อารมณ์ข้าวขาหมูที่เนื้อยุ่ยๆเละๆ มีปลาที่ดูดีหน่อยมาเป็นชิ้น) พอระบำหน้าท้องชุดท้ายออกมา ผู้คนค่อยฮือฮาตาสว่างหน่อย ชีเต้นเหมือนไม่มีกระดูกจริงๆแฮะ นักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น ดูหื่นมาก น่าขนลุก ไทยยังสงบเสงี่ยมวางมาดอยู่บ้าง จบโชว์ไฮไลต์ ก็หมดแรงกันทั้งคนเต้นคนดู กลับห้องสลบกันเถอะ.. 






ก่อนลาไปนอนกันเมื่อคืน ไกด์ได้ส่งข่าวร้ายมาแล้วว่า เช้านี้ที่มีนัดขึ้นบอลลูน แห้วทั้งทริป! เพราะลมแรงมาก จนท.ทัวร์แจ้งว่าไม่ปลอดภัยที่จะขึ้น โฮ.... เสียใจ ไฮไลต์ของทริป หมดกัน

เมื่อไม่ต้องตื่นเช้าไปขึ้นบอลลูน เลยได้ออกสายขึ้นอีกนิด วันนี้เราจะย้ายที่พักกันไปนอนที่เมืองคอนย่า (Konya) ฉลองปีใหม่กันที่นี่



วันสิ้นปีนี่ฟ้าสดใสดีแท้ แม้จะอารมณ์หม่นหมองเล็กๆที่พลาดการขึ้นบอลลูน แต่คิดในแง่ดีว่า ทำให้มีเป้าหมายจะมาใหม่ในอนาคต (555 ดีเหรอ?) ระหว่างนั่งรถออกไป ยังรู้สึกขุ่นเคืองเล็กๆเพราะมองบรรยากาศโดยรอบก็ดูอากาศดี ทำไมบอลลูนไม่ขึ้น! แงๆ ต้องงัดกล้องมาถ่ายรูปเล่นจะดีกว่ามัวแต่หงุดหงิด ระหว่างทางจะมีวิวแปลกๆตาให้ถ่ายรูปอยู่ แสงยามเช้าสวยดี เพียงแต่ต้องตั้ง ISO สูงๆสักหน่อย ตั้ง Speed สูงๆ เพราะรถวิ่งเร็วใช้ได้ ไม่งั้นภาพภูเขาแถบคัปปาโดเจียอันแปลกตาจะเบลอเสียจนเป็นเพียงภาพวิญญาน


เพลิดเพลินกับวิวข้างทางสักชั่วโมง รถก็จอดแวะที่ Caravan Serai (ถ้าใครเคยตามอ่านเรื่องของเราตอนเที่ยวจอร์แดน คงจำได้  คาราวานซารายต์นี่คือโรงเตี๊ยมของพ่อค้าสมัยโบราณแวะพักระหว่างการเดินทาง แต่ที่เราแวะดูที่จอร์แดนมันเล็กๆ ที่ตุรกีอันนี้ใหญ่มาก)



เดินลงมานี่ต้องวิ่งกลับขึ้นรถไปเพิ่มอุปกรณ์ เพราะหนาวมาก ลมแรงมากๆๆๆ มิน่าบอลลูนถึงไม่ขึ้นแฮะ เข้าใจล่ะ เพิ่มหมวกผ้าพันคอแล้วเดินเข้าไปดูด้านในกัน Sultan Han ที่เราแวะนี่ถือเป็นคาราวานซารายต์ที่ใหญ่มาก มีพวกที่ยังหลงเหลือให้เห็นตามข้างทางเหมือนกัน แต่มันเล็กกว่านี้  ข้อมูลที่รู้เพิ่มเติมจากอาเหม็ดคือ ที่พักแบบนี้คืนแรกจะถูกมากๆ แต่ถ้าพักเพิ่มจะแพง คือเน้นให้เฉพาะคนมาแวะพักระหว่างเดินทางจริงๆ อย่ามาสิง ทำนองนั้น แม้จะถูกปรับปรุงให้เป็นจุดท่องเที่ยวแต่ด้านในก็ยังเหม็นๆมืดๆอับๆ แม่กับอาไม่ปลื้มดูนิดหน่อยเลยออกไปช็อปปิ้ง ฮ่าๆๆๆ เพราะเป็นจุดแวะท่องเที่ยวของทัวร์ เลยมีร้านขายของด้านนอกด้วย


ออกเดินทางต่อ อีกสัก 1 ชม. ก็มาถึงเมืองคอนย่า เราจะแวะ Mevlâna Museum กันก่อนกินข้าว จากที่เล่าเรื่อง ลัทธิลมวน (Whirling Dervishes) ไว้ที่วันดูโชว์ วันนี้เรามาที่สำนักลมวนกันเลย ที่นี่คือสถานที่ๆฝังศพของ เมฟลาน่า อยู่รวมกับพ่อแม่ และลูกศิษย์ระดับอาจารย์หลายๆคน ผู้ที่นับถือและศรัทธาในคำสอนของเมฟลานา จะมาทำความเคารพหลุมฝังศพกันตลอดทุกๆวัน นักท่องเที่ยวก็เข้ามาเยี่ยมชมได้ โดยเฉพาะห้องด้านนอกรอบๆ ที่เคยเป็นที่พักที่ทำงาน ตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นห้องจำลองชีวิตของนักบวช ว่าเป็นอย่างไร มีรูปปั้นแสดงวิธีการฝึกสมาธิ มีห้องเก็บของ ตำรับตำราให้มาเดินดู ในโถงอาคารกลางที่มีโดมใหญ่สีฟ้าหม่นๆคือที่เก็บโลงศพของเมฟลาน่าและครอบครัว รวมทั้งพวกนักบวชชั้นสูงของที่นี่ ก่อนเข้าด้านในทุกคนต้องใส่ถุงหุ้มรองเท้าก่อนเข้า เพื่อจะได้ไม่ทำความเสียหายให้กับพื้นของโบสถ์ คุณนัทไกด์ของเราบอกว่าเมื่อก่อนด้านในถ่ายรูปไม่ได้ แต่อาเหม็ดบอกว่าตอนนี้ถ่ายได้แล้ว แต่ห้ามใช้แฟลช พวกเราเลยได้ภาพมาชมกันสบายๆ



จากนั้นก็ไปรับอาหารกลางวัน ที่ร้านร้างๆกลางทะเลทราย เอาจริงๆทัวร์แถบๆนี้ จะเจอร้านคล้ายๆนี้เยอะ ก็พอทานได้ แต่บรรยากาศวังเวงพิกลๆ สลัดผัก 3 สีกับซุปถั่วและปลาเทราท์ แค่วันที่ 2 คุณแม่คุณอายังพอไหว 555

จากนี้นั่งรถกันอีกยาวเลยนะ จากบ่ายโมงนั่งไปอีก เกือบ 5 ชั่วโมง แวะจุดพักข้างทางไป 2 รอบให้ยืดเส้นและเข้าห้องน้ำ ซึ่งจุดพักที่ 2 มีโยเกกิร์ตขาย ที่ไกด์แนะนำว่าอร่อยมาก ทุกคนลงไปสั่งกินกันใหญ่ แต่คงอร่อยจริงเพราะแม่เบิ้ล 2 เราไม่รู้หรอกเพราะไม่กินโยเกิร์ต จำไม่ได้เหอะว่ามันคือที่ไหน จากจุดพักที่ 2 ไปอีกเกือบ 2 ชม.กว่าจะถึงที่พัก ที่ ปามุคคาเล่ (Pamukkale) ที่นี่เป็นโรงแรมใหญ่มาก คืนนี้มีงานเลี้ยงปีใหม่ด้วย พวกเราก็ต้องไปดินเนอร์ที่นั่นด้วย ถ้าคุณไปเที่ยวทัวร์ในช่วงวันเทศกาล คุณจะโดนบังคับให้ร่วมดินเนอร์พวกนี้ตามโรงแรมเสมอๆ

ตามรายการทัวร์บอกไว้ว่า “โรงแรมมีบริการสระว่ายน้ำซึ่งเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ หากท่านใดต้องการแช่น้ำแร่ ให้เตรียมชุดว่ายน้ำ และหมวกว่ายน้ำ ไปด้วย” ซึ่งพวกเราหมายมั่นจะไปแช่ให้ได้ แต่เนื่องจากเวลามันช้ากว่าคาดหมายไปเยอะเชียว ไปถึงรร.ก็สองทุ่มล่ะ กว่าจะได้เข้าห้องก็ 2 ทุ่มครึ่ง แล้วไกด์นัดให้ไปดินเนอร์ 3 ทุ่ม! แม่เจ้า เอาไงดี คุณแม่คุณอาไม่ต้องพูดถึง กว่าจะโน่นนี่นั่นคงไม่ไหว ก็เลยขอบาย เตรียมตัวอยู่ในห้อง รอสามทุ่มไปดินเนอร์ เรา 2 คน ไม่สนล่ะ เปลี่ยนชุดไปแช่น้ำแร่ดีกว่า แช่สักครึ่งชม.ก็ยังดี เพราะไม่งั้นก็อด เพราะสระปิด 4 ทุ่มนะ เปิด 8:30 จริงๆนั่งรถนานๆมา ได้มาแช่มันดีจริงๆ เราเลยตัดสินใจแช่ไปครึ่งชม. สามทุ่มก็กลับห้องไปเปลี่ยนผ้าแห้ง ไม่ต้องอาบน้ำกันล่ะ ไดร์ผมแห้งๆหน่อยใส่หมวกเอา กร๊ากกกก ไปห้องดินเนอร์ 3 ทุ่มกว่า คนมหาศาลมาก อาหารช้าโคตร ระบบจัดการมันมั่ว จริงๆแช่มันสักชม.ค่อยมายังทันเหอะ มานั่งกินออเดิร์ฟคือพวกขนมปังต่างๆกันเป็นชม.นะ กินเบียร์จนจะเมาล่ะ เมนคอร์สยังไม่เสิร์ฟ หลายๆคนในกรุ๊ปไม่ไหวขอตัวไปนอน สุดท้ายเหลือคนกินเมนคอร์สอยู่ 4-5 คน มีแต่เด็กๆที่อยู่กัน เราก็อยู่รอจนปีใหม่ล่ะ ร้องเพลงเต้นระบำอะไรไปเรื่อยเปื่อย สนุกสนานกับชาวเติร์กไป Happy New Year!! Yeh! 










ตื่นเช้าในวันปีใหม่ 2558 อากาศหนาวใช้ได้ทีเดียว เมื่อคืนดื่มแค่พอกรึ่มๆไม่เมา เช้ามาเลยสดชื่นดีอยู่ วันนี้จะไปปราสาทปุยฝ้าย แหล่งเที่ยวอันขึ้นหน้าขึ้นตาของที่นี่ ปราสาทปุยฝ้าย ที่เค้าเรียกๆกัน มีชื่อทางการว่า Pamukkale มันคือแอ่งหินปูนที่มีน้ำขัง เป็นชั้นๆลดหลั่นกันลงไป มีภาพถ่ายงามๆออกมาให้ชวนฝันมากมาย แต่ก็เตรียมใจไว้บ้างแล้วเพราะเท่าที่อ่านมา มันไม่ได้งามเหมือนที่คาดหวังนัก แถมยังต้องอาศัยช่วงเวลาที่น้ำกำลังเหมาะ และแสงลงกำลังพอดีอีก และเช้านี้มีฝนลงพรำๆด้วย

นั่งรถจากโรงแรมมาแค่ครึ่งชม.ก็ถึงแล้ว มีฝนลงบางๆให้เดินแล้วลื่นๆพอเสียวๆ มองรอบๆมันคือเวิ้งซากปรักหักพังที่ยังพอเห็นหลงเหลืออยู่บ้างของ  เมืองโบราณเฮียราโปลิส (Hierapolis) ซึ่งเรายังคงคงยุคสมัยอยู่พอสมควร เพราะมองดูแล้วมันเป็นศิลปะแบบกรีก-โรมัน มีเสามีโถงหลังคาแบบนั้นเลย แต่พังราบไปเกือบหมด




การเที่ยวก็เริ่มที่เดินไปที่น้ำตกปูนขาวก่อน (ตั้งเองนะเนี่ย) ไปถ่ายรูปมุมกว้างก่อน แสงแย่มาก ถ่ายมาไม่ได้ความสวยงามอะไรเลย จากนั้นก็เดินไปที่เนินด้านบนเพื่อ ถอดรองเท้าลงแช่เท้ากัน สว.ก็นั่งแช่ที่ขอบๆนั่นแหละ อย่าเดินไปไกลเพราะบางจุดมันลื่น พวกเราหนุ่มสาว (หรา...) ก็เดินลุยๆออกไปถ่ายรูปเล่นกัน ก่อนจะลงเดิน ก็ถอดถุงเท้ารองเท้าไว้ขอบทางลง แล้วก็ถอดเสื้อหนาวด้วยนะ เพราะไอร้อนมันขึ้น เดินเล่นอุ่นกำลังสบาย เดินเล่นจนเท้าเหี่ยว ก็ขึ้นมาเช็ดแข้งขา เพื่อออกเดินเที่ยวกันต่อ ตอนนี้ต่างคนต่างไปตามสภาพ สว.ก็เดินเล่นแถวๆนั้นกินขนม กินไอติมไปตามเรื่อง ส่วนเราก็เดินไปดูเมืองโบราณกัน



จุดเด่นๆคือพิพิธภัณฑ์ ด้านในมีพวกรูปปั้นต่างๆ มีอ่างอาบน้ำแกะสลัดงามจริงๆ ก็คงเก็บมาจากด้านนอกนั่นแหละ เอามาจัดให้ดู เดินดูเพลินๆดี ตัวอาคารเดิมทีคือโรงอาบน้ำโบราณ  จากนั้นเดินต่อไปอีกนิดจะมีโรงอาบน้ำโบราณ ที่มีน้ำแร่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา ต้องจ่ายเงินค่าเข้าใช้บริการ มีล็อคเกอร์มีห้องน้ำเรียบร้อย ซึ่งถ้าเตรียมชุดมาก็ไปแช่ได้เลย มีครอบครัวนึงเค้าเตรียมการมาแช่ เห็นเดินหายเข้าไป คงแช่กันเพลินเลย เราแค่เข้าไปโฉบๆดู แล้วก็ออกมาเดินต่อไปด้านหลัง คราวนี้ขึ้นเนินไปที่ โรงละครกลางแจ้ง ที่โดนแผ่นดินไหวเล่นงานจนโครงสร้างพังลงมา แต่ก็ยังคงสภาพให้เห็นอยู่พอสมควร แนะนำให้ขึ้นไปเพราะจากบนนั้นมองเห็นวิวกว้างๆสวยงามดี มีตรงนี้แหละที่พอประทับใจบ้างสำหรับที่เที่ยวเช้านี้



คงเพราะบริเวณนี้มีน้ำแร่อุ่นๆอยู่หลายบ่อหลายสาย ทำให้มีการสร้างโรงอาบน้ำกัน เล่ากันว่าคนโบราณเชื่อว่ารักษาโรคได้ แถมบางตำนานเล่าว่าโรงอาบน้ำนี้คลีโอพัตราก็เคยมาแช่ด้วย เราก็ไม่แน่ใจเรื่องยุคสมัยนะบอกตรงๆงงมาก แต่ด้วยว่าแถบนี้มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง สิ่งก่อสร้างจึงพังทลายลงมาหมด ผู้คนเลยย้ายหนีออกไป เลยโดนทิ้งร้างมาเนิ่นนานด้วยประการฉะนี้...

จบทริปที่ปามุคคาเล่แค่นี้ บ่ายเราเดินทางกันต่อไปที่แคว้นอิซเมียร์ Izmir ไปพักกันที่เมือง Kuşadası (ออกเสียงว่าคูซาดาซึ แปลกดี) เป็นเมืองริมทะเลอิเจี้ยน (Aegean Ocean) อาเหม็ดว่าเป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียง เราว่าก็คงจะจริงเพราะรีสอร์ทตรึมเลย และวิวก็สวย แต่ตอนเราไปเหมือนเมืองร้างมาก ก็มันไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวนะ หนาวขนาดนี้  มาถึงก็มืดพอดี ยังไม่เห็นอะไรมากนอกจากวิวตอนนั่งรถข้ามเขามา เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นระยะๆ






เช้านี้ตื่นมาชมวิวทะเลเอเจี้ยนกันแต่เช้า คือทะเลมันสวยมากกกกกกก ยิ่งพอแดดเริ่มออกยิ่งฟ้าใสสวย มันคือทะเลเดียวกับที่กรีซที่เคยไปแล้วโดนสะกดเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่มันหนาวเหลือเกิน เดินริมหาดได้ไม่นานหน้าชาไปหมด 




โปรแกรมเช้านี้ออกจากที่พักนั่งรถไปสัก 45 นาทีก็ถึงล่ะ บ้านพระแม่มารี (House of Virgin Mary) >> เชื่อกันว่าเป็นที่สุดท้ายที่พระแม่มารีมาอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ ถูกค้นพบอย่างปาฏิหารย์ โดยแม่ชีตาบอด ชาวเยอรมันชื่อ แอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช (Anna Catherine Emmerich, ค.ศ. 1774-1824) ได้เขียนบรรยายสถานที่ไว้ในหนังสืออย่างละเอียดราวกับเห็นด้วยตาตนเอง เมื่อเธอเสียชีวิตลง มีคนพยายามสืบเสาะค้นหาบ้านหลังนี้ จนพบในปี ค.ศ. 1891 ปัจจุบันบ้านพระแม่มารีได้รับการบูรณะเป็นบ้านอิฐชั้นเดียว ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารี ซึ่ง พระสันตปาปา โป๊ป เบเนดิกส์ที่ 16 ได้เคยเสด็จเยือนที่นี่ บริเวณด้านนอกของบ้าน มีก๊อกน้ำสามก๊อกที่เชื่อว่าเป็นก๊อกน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์ แทนความเชื่อในเรื่อง สุขภาพ ความร่ำรวย และความรัก ถัดจากก๊อกน้ำเป็น กำแพงอธิษฐาน ซึ่งมีความเชื่อว่าหากต้องการให้สิ่งที่ปรารถนาเป็นความจริงให้เขียนลงในผ้าฝ้ายแล้วนำไปผูกไว้แล้วอธิษฐาน [ลอกมาจากโปรแกรมทัวร์ – ตอนไปก็ไม่ได้อ่านไปก่อน เพิ่งรู้ตอนมาเขียนนี่แหละ 55]

ออกจากบ้านพระแม่มารี อาเหม็ดพาไปแวะโรงงานเสื้อหนัง เป็นโรงงานที่เค้าโม้ว่าตัดให้แบรนด์ดังๆในยุโรปมากมาย จำไม่ได้ล่ะว่าอะไรบ้าง คือแบบซื้อที่นี่ราคาโรงงานไม่พะยี่ห้อแบรนด์แต่ได้ของดีว่างั้น ก็ตามที่เคยได้ยินมาบ้าง การพรีเซนต์ของเค้าคือมีแฟชั่นโชว์เล็กๆให้ดู แล้วก็ลากผู้ดูขึ้นไปเดินด้วย ซึ่งเราโดน เอิ๊กๆๆๆ ขอบอกว่าเสื้อมันเจ๋งจริงบางเบา เก๋ไก๋ เสื้อหนังไรฟะโคตรดีเลย แต่ราคาก็โหดไม่เบา ต้องต่อราคากันสุดๆ ต่อได้เหอะลดแล้วลดอีก ก็มีคนซื้อกันหลายตัว รวมทั้งคุณนายแม่ด้วย คุณแฟนด้วย เหงื่อตกกันเลยทีเดียวตอนสลิปมา - -“





โปรแกรมบ่ายของเราคือ เมืองโบราณเอฟฟิซุส (City of Ephesus) อันนี้หลายคนก็ว่าเป็นไฮไลต์ของทริปตุรกี อันนี้ต้องเตรียมรองเท้าเดินสบายๆมานะ มันเดินไกลอยู่ คนก็เยอะระวังสว.จะหลง ห้องน้ำไม่มีระหว่างทางเดินนะ ต้องเตรียมการณ์หลายอย่างถ้ามีสว.

เราเริ่มเดินไปเรื่อยๆฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ฝากสว.ไว้กับไกด์เลย เพราะเราเน้นถ่ายรูป เดินตามไปห่างๆ เมืองเอฟฟิซุสนี่ อารมณ์เหมือนเมืองโบราณกรีก-โรมันหลายๆที่ๆเราเคยไปมา ยังคุยกันขำๆว่า เอารูปมาปนๆกันก็แยกไม่ออกล่ะ นอกจากจุดไฮไลต์จริงๆ 55



ไม่รู้จะเล่ายังไง เพราะมันมีจุดสนใจตามรายทางมาเรื่อยๆ มีรูปปั้นโน่นนี่นั่น มีส้วมโบราณ มีพื้นโมเสคโบราณ อ่อจำได้อันนึงเทพไนกี้ ฮาๆนะ มันมีที่มาจริงๆแฮะ... มีรูปปั้นเมดูซ่า (Medusa) นึกถึง Versace เลยนะ ก็เดินไปจนถึงไฮไลต์คือห้องสมุด ที่มีผนังด้านหน้าหอสมุดหลงเหลือให้เห็นได้ใหญ่โตอยู่ เป็นภาพไฮไลต์ของที่นี่กันเลยทีเดียว 



การเดินเที่ยวที่นี่เข้าออกคนละทางนะ เดินเข้าไปทะลุออกอีกทางเลย เดินเมื่อยเลยเหมือนกัน ตรงทางออกมีร้านขายของที่ระลึก เราเข้าไปสอยหนังสือ Before & After มาเหมือนๆกับที่ Greece และ Egypt คนทำมันก็ช่างจินตนากาจริงๆ บางอันเหลือเสาต้นเดียวมันวาดภาพเต็มๆได้อลังการมาก หวังว่ามันคงศึกษาหาข้อมูลมาอ่ะนะ ไม่ได้มโน เพราะเราเชื่อหมดนะ 555


คืนนี้เราบินกลับไปนอนอิสตันบูลล่ะ เหนื่อยเหมือนกัน กว่าจะบินไปถึงก็มืด กว่าจะได้กินข้าว สว.ถึงกะลมขึ้น








ดูรายการทัวร์วันนี้แล้วทึ่ง หลายที่ละเกิ้นนนน แต่ทัวร์ทำได้เรามั่นใจ 55 เพราะอ่านๆดูมันอยู่ละแวกเดียวกันหมด รถทัวร์พาไปปล่อยลงตรงจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต ด้านหนึ่งคือ สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) อีกด้านคือ โบสถ์เซนต์โซเฟีย (ST. Sophia) แต่คุณนัทกับอาเหม็ด พาเราเดินฉีกออกด้านข้างไปก่อน ไปชมสนามแข่งกีฬาโบราณ ที่เรียกกันว่า Hippodrome ฮิปโปโดรม เป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ เช่นแข่งม้า ไอ้เราก็งง มันคือตรงไหนวะ ที่แท้มันคือลานกว้างๆโล่งๆนี่เอง - -“ บร๊ะเจ้า... 




แต่มีที่น่าสนใจดูคือ เสา 3 ต้น คือ Obelisk of Theodosius - เสาโอเบลิกส์ที่สร้างในอียิปต์ เพื่อถวายแก่ฟาโรห์ตุตโมซิสที่ 3 เป็นแท่งเด่นสง่าอยู่กลางลานเหมือนที่อิยิปต์เป๊ะ เสาต้นที่สองคือ Serpent Column หรือเสางู เป็นเกลียวๆแต่หักเหลือโคนๆอยู่หน่อยนึงล้อมรั้วไว้ ช่วยชะโงกดูด้วย  และเสาต้นที่สาม Walled Obelisk - เสาคอนสแตนตินที่ 7 เหมือนเอาหินมาก่อๆเรียงกัน texture สวยดี

จากนั้นก็เดินเข้าด้านข้างของสุเหร่าสีน้ำเงิน รับผ้าโพกหัวคนละผืนฟรี ยืมแล้วคืนขาออก ถ้าใครเตรียมของตัวเองมาก็ดี ไม่รู้ผ้าโพกหัวใครมาบ้าง อันนี้บังคับผู้หญิงต้องโพกทุกคน แล้วก็ต่อแถวกันเข้าชมด้านใน ก่อนเข้าถอดรองเท้าด้วย ใส่ถุงหิ้วไป ผู้คนมากมายล้นหลามแม้พวกเราจะมากันแต่เช้าก็ตาม สุเหร่าสีน้ำเงินนี้ เค้าว่ากันว่า เมห์เมต อาอา (Mehmet Ağa) สถาปนิกผู้สร้าง ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์ ที่เป็นสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย เลยออกแบบซะงาม แล้วสร้างประจันหน้ากันซะเลย เข้าไปดูด้านในสวยงามตามท้องเรื่องเลย ถ่ายรูปลำบากเหลือเกิน ด้วยว่าคนเยอะ เวลาน้อย ที่แคบ บันทึกในความทรงจำมาละกัน




ออกจากสุเหร่าสีน้ำเงินแล้ว เดินไปฝั่งตรงข้าม เพื่อเข้าดู โบสถ์เซนต์โซเฟีย ไปดูซิว่าอันไหนสวยกว่ากัน กว่าจะข้ามไปถึงก็ใช้เวลาพอสมควร ไม่ได้เพราะว่าไกลหรอก แต่ทุกคนมัวแต่ถ่ายรูป หันหน้าหันหลังถ่ายกันใหญ่ คือมันมุมบังคับนะ ทุกคนมาต้องถ่าย 555 กว่าจะต้อนทั้งหมดไปถึงฝั่งโน่นได้เล่นเอาอาเหม็ดเหงื่อแตก 555

ที่เซนต์โซเฟียต้องผ่านเครื่องตรวจเอกซ์เร น่าจะตรวจอาวุธ ขาตั้งกล้องห้ามเอาเข้าต้องไปฝากนะ รับคืนตรงทางออก ที่นี่คุณนัทแจกหูฟังให้ทุกคน เป็นเครื่องรับสัญญานฟังเวลาไกด์พูดเล่าเรื่องต่างๆ ชอบแบบนี้นะ ทุกคนก็เดินดูอะไรๆได้ แต่อยู่ในรัศมีทำการนะไม่ไกลมาก เราถ่ายรูปไปก็ยังฟังได้ว่าอะไรๆบ้าง ไม่ต้องไปยืนกระจุกเงี่ยหูฟัง ทำไรก็ไม่ได้ ถ้าหันไปถ่ายรูปก็ไม่ต้องรู้อะไรล่ะ 


ด้านในของเซนต์โซเฟียก็อลังการงานสร้างไม่แพ้บลูมอสก์นะ แถมใหญ่โตกว้างขวางกว่าเยอะ นี่ยังสร้างไม่เสร็จกันเลย ยังคงสร้างต่อไปเรื่อยๆ จุดเด่นๆคือโดมใหญ่ที่มีลวดลายสวยๆทุกโดม และภาพโมเสคฝาผนังสีทองอร่ามที่ชั้น 2  เช่น รูป Deisis Composition เป็นภาพพระเยซูในวันพิพากษาโลก (Doomsday) กับ ภาพ Zoe Mozaic ภาพพระเยซูประทานพรให้แก่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 9 



เซนต์โซเฟีย นี่แต่เดิมเป็นโบสถ์คาธอลิค มีการก่อสร้างต่อเติมมาหลายยุคหลายสมัย จนวันที่ชาวเติร์กเข้ามามีอำนาจแทนอาณาจักรโรมัน เลยโดนเปลี่ยนจากโบสถ์คาธอลิคเป็นสุเหร่า แล้วเอาปูนทาทับรูปภาพฝาผนังทั้งหมด (โชคยังดีที่ไม่ขูดขีดฆ่าทำลายทิ้งนะเนี่ย) จนกระทั่งเข้าสู่ตุรกียุคใหม่ที่นำโดย อตาเติร์ก เปลี่ยนการปกครองเป็นระบบการปกครองแบบสาธารณะรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เซนต์โซเฟีย ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ซะเลย และได้ล้างปูนขาวที่ทาทับไว้ เลยได้เห็นภาพโมเสคฝาผนังงามๆอีกครั้ง

ที่นี่จะมีเสาต้นหนึ่งที่เค้าเชื่อกันว่ารักษาโรคได้ จะมีคนมาต่อแถวกันเพื่อไปลูบๆเสาขอพร ถ้ามีเวลาลองไปต่อแถวกับเค้าบ้างก็ได้นะ เราเดินผ่านดูเฉยๆ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่นะ

ออกจากเซนต์โซเฟียแล้วเราเดินข้ามถนนไปต่อคิวใหม่เพื่อเข้า อ่างเก็บน้ำใต้ดินเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici) ต้องเดินลงบันไดไปใต้ดิน ทางจะเปียกๆชื้นๆหน่อยนะ ดูแลสว.ดีๆหน่อย ระวังลื่น ลงไปด้านล่างแล้วมันจะมืดๆถ่ายรูปยากมากนะเพราะมันมืด shutter speed ต่ำมาก นักท่องเที่ยวก็เยอะเดินกันตลอดสรุปว่าถ่ายไม่ได้ เราควักไอโฟนมาถ่ายนะ เก็บบรรยากาศพอได้ 



เสาของอุโมงค์เก็บน้ำนี้มีลวดลายหัวเสาแบบโรมันสวยทีเดียว ยิ่งเรียงกันเป็นแถวๆแสงเหลืองๆยิ่งสวยใหญ่ ไฮไลต์ของใต้ดินนี่คือเสาต้นหนึ่งที่มีลายคล้ายๆหยดน้ำ บางคนว่าเป็นตานกยูง คือมันแปลก และด้านในมีเสาที่ฐานเสาเป็นรูปเมดูซ่า นางที่หัวเป็นงูน่ะ ต้องเดินเข้าไปจนสุดทาง เสาจะนอนตะแคงอยู่อันนึงกับอีกอันกลับหัว เพราะเป็นเคล็ดว่าไม่ให้มองคนจนกลายเป็นหิน ทำนองนี้ เดินวนๆดูสักพักก็กลับขึ้นมา โฮ่.... ครึ่งวันเที่ยวไปตั้งหลายที่ ทัวร์ทำได้ 5555



เที่ยงนี้พิเศษสุดเพราะได้กินอาหารไทย โอ้ว...เย แถมอร่อยมากด้วย สว.เป็นปลื้มเติมข้าวกันสนุกสนาน ร้านชื่ออะไรจำไม่ได้เสียดายจัง แม่ครัวคนไทยออกมาไหว้คุณนายแม่ด้วย มาขอพรปีใหม่ น่ารักมากๆเลยอ่ะ อิ่มแล้วลุยต่อช่วงบ่าย

บ่ายนี้ไปเที่ยววัง พระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) วังชื่อแปลกๆนี่สร้างขึ้นโดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 พอหมดยุคสุลต่าน รัฐบาลเลยเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมข้าวของเครื่องใช้และของมีค่าต่างๆ เช่น เพชร 96 กะรัต, กริชทองประดับมรกต, บัลลังก์ทองคำ เป็นต้น แล้วก็ยังมีเครื่องราชฯที่ ร.5 ส่งมาถวายสุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 ด้วยนะ ต้องค่อยๆเดินดูไป การเข้าชมก็ต้องไปต่อแถวเข้าชม ในห้องต่างๆ พื้นที่วังทั่วไปมีพื้นที่ใหญ่มาก มีตำหนักต่างๆเยอะแยะ มีส่วนที่เป็นฮาเร็มด้วย ต้องเสียเงินเพิ่มเข้าไปดู เราไม่ได้เข้าไปเพราะไม่ได้สนใจฮาเร็มนะ 



ถ้ามีเวลาให้เดินเลยไปด้านหลัง จะมีระเบียงกว้างใหญ่ที่ชมวิวทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) ได้ แถมมองเห็น 2 ฝั่งทวีปเลยคือฝั่งเอเชียและฝั่งยุโรป ที่เราอยู่นี่คือฝั่งเอเชียนะ เห็นช่องแคบบอสฟอรัสได้ด้วย เสียดายว่าวันนี้อากาศไม่ดีเลย ฟ้าหลัวมัวซัวทั้งวัน ภาพเลยออกมาหม่นหมอง แถมเลนส์พังอีก เศร้าใจ ได้แต่งัดไอโฟนออกมาถ่ายแทน อีกวันเดียวเอง จะรีบพังไปไหน 



เดินชมวังกันจนเย็นย่ำกลับออกมา ยังมีโปรแกรมต่ออีก คือไปเดิน ตลาดแกรนด์บาร์ซา (Grand Bazzar) วันนี้ช่างยาวนานนัก เหนื่อยแท้ แต่ก็ทน ไปเดินแกรนด์บาร์ซา เหมือนไปเดินไนต์บาซาร์บ้านเรานั่นแหละ มีของที่ระลึกของฝากของพื้นเมืองขายเต็มไปหมด แต่มันเหมือนๆกัน ตัวตลาดสร้างคล้ายๆสุเหร่า มีโดมกลาง ทางเดินเป็นซอกเป็นซอยตัดกันไปมา แต่เดินถึงกันหมด ถ้าไม่ซื้ออะไรก็เดินดูสถาปัตยกรรมเพลินๆพอได้ ของที่ขายมีทุกอย่างที่เป็นของฝาก ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเรา เพราะซื้อมาหมดแล้ว ได้แต่เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย รอเวลานัด สุดท้ายเมื่อยเกินจะทนเลยไปนั่งซัด Kebab เพลินๆไป มาตุรกีทั้งทีต้องจัดสักครั้ง



กว่าจะได้กินข้าวก็เกือบ 2 ทุ่ม นี่คือข้อเสียของการเที่ยวทัวร์ ยัดทุกอย่างลงใน 1 วัน เหนื่อยจริงๆ






เช้าสุดท้ายในตุรกีแล้ว เช้านี้พอมีแสงรำไรๆบ้าง แต่พยากรณ์อากาศก็ว่ามันยังมัวซัวอยู่ ดีว่าวันนี้เที่ยววังอีกวัน เดินข้างในก็คงไม่ต้องการแสงเท่าไหร่นัก วันนี้ไปเที่ยวพระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) พระราชวังนี้ สุลต่าน อับดุล เมอซิท ได้รับสั่งให้สร้างอย่างสไตล์ยุโรป สวยงามตามแบบฉบับตะวันตก มีสวนสวยรอบๆวัง ด้านในก็ตกแต่งได้เริศหรูอลังการมากๆ เค้าห้ามถ่ายรูป ได้แต่เดินซี๊ดซ๊าดไปเรื่อยๆ มันสวยใช่ย่อยเลยนะ โดยเฉพาะแชนเดอเลียร์หนัก 4.5 ตันที่แขวนอยู่ห้องโถง มหัศจรรย์ใจจริงๆ บันไดโค้งหินอ่อนก็งามมากๆ ไม่รู้ใช้เงินทองมหาศาลแค่ไหนกับการสร้างวังถึง 12 ปี



เดินชมข้างในจบ ออกมาชมด้านนอกบ้าง เริ่มเสียใจล่ะที่ไม่มีแดด แถมอาการเหมือนฝนจะลงอีก ลมแรงมากๆเพราะวังนี้ตั้งอยู่ริมช่องแคบบอสฟอรัสเลย ทะเลซัดโครมๆ แม้สวนจะสวยแต่แดดไม่มีและลมหนาวยะเยือกเลยต้องรีบๆเดินกลับไปขึ้นรถ ไม่ไหวจะชิลนะวันนี้ ฝั่งตรงข้ามวังมีการก่อสร้างใหญ่ยักษ์ ได้ความว่าเป็นสนามใหม่ของเบซิกตัส แหม่...สร้างตรงข้ามวังกันเลย


(Galata Bridge) ข้ามสะพานฝั่งเอเชีย-ยุโรปไปๆมาๆทั้งวัน

หลังอาหารเที่ยงอันจืดชืดและน่าเบื่อ แต่เป็นเที่ยงสุดท้ายในตุรกี พวกเราก็ไปลงเรือกัน เราจะล่องช่องแคบบอสฟอรัส ช่องแคบนี้เชื่อมทะเลดำ (The Black sea) กับทะเลมาร์มาร่า (Sea of Marmara) มีความยาวประมาณ 32 กม. ถ้าอากาศดีๆน่าจะสวยงาม นั่งชมวิวทิวทัศน์บ้านเรือนฝั่งยุโรป ฝั่งเอเชีย แต่วันนี้อากาศมัวซัว หนาวเหน็บ เลยไม่ค่อยชิลเท่าไหร่ สู้ลมหนาวถ่ายรูปเป็นพักๆก็ต้องกลับมาแอบในเคบินอุ่นๆ เรือจะล่องผ่าน วังโดลมาบาชเช่ที่เราเที่ยวเมื่อเช้าด้วย



วิบากกรรมแท้ที่พอเรือเทียบท่า ฝนก็ลงห่าใหญ่ กึ่งเดินกึ่งวิ่งกันไป Spice Bazaar (Spice Market) ตลาดเครื่องเทศอันมีชื่อ ที่เรานั่งรถผ่านไปผ่านมาทุกวัน เห็นคนเดินกันขวักไขว่ตลอดเวลา วิ่งฝ่าฝนเปียกกันพอได้อารมณ์เฉอะแฉะก็ถึงตลาด ไกด์ให้เวลาตั้ง 2 ชม.แน่ะ ใครขาดเหลืออะไรก็ซื้อกันที่นี่ได้ ของฝากทุกสิ่งสรรค์ของตุรกีมีที่นี่ เพราะเป็นตลาดเครื่องเทศ ของที่เด่นๆของที่นี่เลยเป็น หญ้าฝรั่น (Saffron) ซึ่งจริงๆแล้วราคาแพงมากนะ แต่ที่นี่วางขายกันแบบถู๊กกกถูก ซึ่งคุณนายแม่ฟันธงได้เลยว่าปลอม 555 ของอื่นๆก็มีขายครบครัน ใครยังขาดของฝากก็จัด เตอร์กิชดีไลต์ (Turkish Delight) ขนมของฝากจากตุรกีได้อีก หรือจะเป็นพวกผ้า พวกพรม อิทผลัมอบแห้ง แอปปริคอทอบแห้ง ทุกอย่างมีหมด ว่าไปเราว่า Spice Market มีสีสรรค์มากกว่า Grand Bazaar ที่ไปคืนก่อน ถ่ายรูปสนุกกว่า คุณนายแม่กับคุณอาปล่อยเดินกันตามสะดวก เราเดินแอบดูอยู่แกก็สนุกสนานได้อยู่ เดินชิมโน่นนี่ไป คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เมื่อยก็นั่งพักคุยกะแขกกะฝรั่งไปเรื่อยเปื่อย 



เราตั้งใจไปเดินหาร้านขนมปังที่เพื่อนๆหลายคนบอกว่าต้องไปซื้อชิมนะ คนต่อคิวยาวเลย เรามีเวลา 2 ชม.ต้องได้ละวะ แต่เดินเข้าออกครบทุกซอกแล้วหาไม่เจอ เจอร้านนึงคนต่อคิว แต่ไม่ยาวเท่าไหร่เลยไปต่อบ้าง ปรากฏว่ามันขายกาแฟบด หอมดีเหมือนกัน ซื้อมา 1 ถุงเล็ก จนวันนี้ยังไม่ได้ลองชงเลย ตกลงขนมปังหาไม่เจอแห้วไป เดินจนเมื่อยถ่ายรูปจนเบื่อก็ยังไม่ถึงเวลานัด เลยไปนั่งจัดเคบับอีกมื้อ เป็นการร่ำลาตุรกีอย่างดีทีเดียว

Flight กลับกรุงเทพฯของพวกเรากว่าจะออกก็ตี 1 ไปถึงสนามบินล่วงหน้าตั้งแต่ 2 ทุ่ม ทรมานเหลือเกินกับ 4 ชม.ในสนามบินอตาเติร์ก ที่ไม่มีอะไรมากนัก แถมเหนื่อยและง่วง พอได้ขึ้นเครื่องก็หลับยาวไปถึงสุวรรณภูมิกันเลย ถามว่าชอบมั๊ยบอกเลยว่าเฉยๆนะกับตุรกี ตั้งความหวังไว้สูงกว่านี้เยอะ ที่ประทับใจมีแค่คัปปาโดเกียที่สวยแปลกตาดี แต่ก็พลาดบอลลูนไป ส่วนอื่นๆก็เฉยๆเมืองโบราณก็ไม่ได้ประทับใจมากเพราะเคยไปอิยิปต์มาแล้ว ไปกรีซมาแล้ว มันอลังการกว่ามาก วันมาอิสตันบูลก็ดันฝนตกหนาวยะเยือก แต่ถือว่าได้พาสว.มาเที่ยวก็ดีอยู่


อาหาารตุรกีที่ได้กินไม่มีอะไรพิเศษ พอกินไหว แต่หลายๆวันก็เบื่อ อาหารจืดๆ มีแป้งมีผักสลัดมีซุปถั่ว บางมื้อเป็นข้าวกับไก่กับปลา มีเคบับที่กินได้กินดี ถ้าเจอก็กิน กับชาแอ๊ปเปิ้ลอร่อยดี แต่ซื้อมาชงเองที่บ้านยังกะปริมาณไม่ได้ดีเท่าที่เค้าชงให้ชิมที่โน่นสักที ลองจะหมดกล่องล่ะ กาแฟตุรกีก็ขมๆ หอมใช้ได้
โลคุ่มหวานๆไม่ค่อยชอบ กินได้นิดหน่อย แต่คนนิยมซื้อเป็นของฝาก มีช็อคโกแลตไส้อัลมอนก็อร่อยดี


No comments:

Post a Comment