Aug 16, 2015

ภาระกิจพิชิตมิดเดิ้ลเอิร์ธ - ตะลุยเกาะเหนือนิวซีแลนด์

Trip : April 2015
The North Island - New Zealand




เหตุเกิดจากคุณโรสเพื่อนเลิฟที่ไปฝังรากลึกที่อเมริกาจะมาเที่ยวนิวซีแลนด์ คุยกันไปมาเลยว่า "ไปด้วย!!" แต่ด้วยว่าเราเพิ่งไปลุยเกาะใต้มาสิบกว่าวันเมื่อปีที่แล้ว เลยปล่อยเธอไปลุยเกาะใต้กับพี่สาวก่อนสักอาทิตย์ แล้วค่อยมาเจอกันที่ Auckland แล้วลุยเกาะเหนือต่อกันอีกสัก 5-6 วัน เยี่ยมเลยแผนนี้!


 North New Zealand Photo



ตกลงกันได้ที่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ ดีเลย ลางานน้อยวัน ลองหา Flight ดูแล้ว หะแรกจะไป TG แบบเดียวกับโรสและพี่ปัน แต่วันเวลาที่มีบินไม่เข้ากะโปรแกรมวันที่เจอกัน สุดท้ายก็ไปจบที่ Qantas / Emirate เหมือนเคย ใช้เวลาบิน BKK-SYD ประมาณ 9.30 ชม. แล้วต่อเครื่อง SYD-AKL อีก 3 ชม.กว่า

แผนเดินทาง

Day1: BKK -> Auckland – Rotorua : 228Km. 3Hr.
Day2: Rotorua
Rotorua | Agrodome [Show & Farm tour] / Skyline [Lunch & Ludge] / Rainbowsprings [Zoo & Splash] / Te Puia [Gayser/Mudpool  & Maori show & Dinner]

Day3: Rotorua – Napier : 219Km. 3Hr.
Rotorua | Art Museum

Day4: Napier – Taupo - Rotorua : 219Km. 3Hr.Napier | Art Deco walking tour | 
Taupo | Late Lunch
Rotorua | 
Polenetian Spa |
Day5: Rotorua - Matamata – Waitomo - Auckland : 70Km. 1Hr. / 105Km. 1.30Hr. / 195Km. 2.30Hr.
Matamata | Hobbiton Movie Set | - Waitomo | Waitomo cave |
Day6: Auckland
Auckland | 
Kelly Tarlton's Sea Life Aquarium / Weiheke Wine tour
Day7: Auckland | Mt.Eden | – BKK




ก่อนไปได้คุยโปรแกรมคร่าวๆกันแล้วว่าจะไปไหนบ้าง เราบอกว่าอยากไปที่ถ่ายทำ Hobbit พี่ปันผู้ทำโปรแกรมบอกว่า แน่นอนมันรวมอยู่ในโปรแกรมด้วยแน่นอน! ยะฮู้ว!! เพราะว่าเกาะเหนือนี่สถานที่เที่ยวเทียบกับเกาะใต้แล้วด้อยกว่าเยอะ(เราว่านะ) คนจึงนิยมไปเกาะใต้กัน เกาะเหนือมีจุดเด่นๆดังๆคือ จุดถ่ายทำ Lord of The Rings ทั้ง 3 ภาคและ Hobbit อีก 3 ภาค [2012: The Hobbit: An Unexpected Journey | 2013: The Hobbit: The Desolation of Smaug | 2014: The Hobbit: The Battle of the Five Armies] โดยเฉพาะ Hobbit นี่เป็นไตรภาคหลังสุด จึงมีฉากถ่ายทำให้เที่ยวได้อยู่ ก่อนไปเราก็ตั้งใจจะดู Hobbit ให้ครบทั้ง 3 ภาค แต่ดูแล้วดูเล่าก็ไม่จบภาคแรกสักทีหลับก่อนทุกที ก็มันยาวเหลือเกิน พอขึ้นเครื่องได้ เลยกดดู Hobbit ละวะ มันเป็นรายการแนะนำเลยด้วย ทั้งๆที่คืนก่อนหน้าทำงานแทบไม่ได้นอน กระเป๋าเพิ่งมาเก็บเอาคืนก่อนบิน แต่พอดูบนเครื่องแล้วทำไมไม่หลับ ยิ่งดูยิ่งมัน ดูไปจิบไวน์ไป แทนที่จะได้พักผ่อน สรุปดูไป 2 ภาค ลงเครื่องมา โทรมยังกะ ซอมบี้ใน The walking dead!






Day1: ถึงแล้วโอ๊คแลนด์


แลนดิ้งตอนเกือบบ่าย 3 คุณโรสเพื่อนรักมารอรับตามนัด เช่ารถจาก Budget มาแต่เมื่อวาน พร้อมออกเดินทาง! จากสนามบินโอ๊คแลนด์ขับออก State Highway ไปเกือบๆ 3 ชม. ก็น่าจะถึงโรโตรัว ถึงเราจะยุ่งแต่ก็พอหาข้อมูลมาบ้างทำแผนที่ขับรถมาบ้างล่ะ ก็เห็นว่าขับมา SH27 ใหญ่ๆมาเรื่อยๆไม่ยากเย็น แต่ด้วยว่าคนขับมาจากอเมริกา ชีย่อมมั่นใจเทคโนโลยี่ นั่นคือ GPS ที่บอกให้เลี้ยวในทางที่ไม่ควรเลี้ยวนะ เข้าไปวกๆวนๆ ในทุ่งนาป่าเขา (แล้วมันเป็นงี้ตลอดทริปนะ เราต้องคอยเช็คจากแผนที่ๆเตรียมมา กับเช็ค Google map ในมือถืออีกรอบ) คือมันพาไปวกวนชมวิว...ซึ่งไม่มีอะไรเพราะเย็นแล้ว และวันนี้อากาศมัวซัว ฝนลงปรอยๆ เสียเวลาแถบนั้นไปกว่าครึ่งชม. หรือว่าอิคนเช่าคนก่อนมันเซ็ตให้เป็น Scenic route ฟะ แต่ลองปรับเป็น Shortest route ก็แล้ว ก็ยังพาวนเข้าถนนเล็กตลอดๆ พี่เพลีย ~


สุดท้ายก็โผล่ออกถนนใหญ่จนได้ เจอหมายักษ์ตามที่พี่ปันบอก พี่ปันว่าต้องมาแวะฉี่ที่นี่ทุกครั้ง ฮ่าๆๆๆๆ ฉี่เสร็จบึ่งต่อไม่นานก็ถึงโรโตรัวล่ะ มื้อนี้มื้อแรกของเราในนิวซีแลนด์แต่ป็นอาหารไทย พี่ปันเลือก ต้องตามใจ 2 สาวเพราะมากันอาทิตย์กว่าแล้ว ต้องคิดถึงอาหารไทยแน่แท้ ร้าน Herb & Spices หาไม่ยาก search เอานะ อร่อยมากมายนะบอกเลย


Day2: เคียโอรา โรโตรัว


Kia ora! สวัสดี นิวซีแลนด์ (ภาษาเมารีวันละคำ เริ่มด้วยคำว่า เคียโอร่า แปลง่ายๆก็ สวัสดีจ้า ภาษาอังกฤษก็แบบ Hello Have a good day ทำนองนี้) 

วันนี้จะเริ่มเที่ยวล่ะ โปรแกรมการเที่ยวจัดมาโดยพี่ปันคนสวย ที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์มานานนนนน พี่ปันจัดให้ สบายเราไป เดินตามพี่สาว หมาไม่กัดแน่นอน จัดการอาหารเช้าที่โรงแรมอิ่มหนำก็รีบบึ่งไป AgroDome ไปพบพี่แอนนี่ พี่สาวใจดีที่ทำงานดูแล AgroDome นี่เอง โปรแกรมแรกของวันนี้ ไปดูโชว์ตัดขนแกะ เออ แฮะ...เราไปมาแล้วทั้งนิวซีแลนด์เกาะใต้ ทั้งออสเตรเลียก็ไม่เคยดูหรอก ต้องพวกเที่ยวทัวร์ถึงได้ไปดูนะ นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีล่ะ 


ช่วงแรกเราเข้าไปดูการแนะนำแกะพันธุ์ต่างๆ แล้วก็มีหมาต้อนแกะ มีการโชว์ตัดขนแกะ ระบบจัดการของ Agrodome นี่ดีใช้ได้นะ เข้าเป็นรอบๆ มีหูฟังแปลภาษา ไม่ต้องกินวุ้นแปลภาษาของโดเรม่อน (พี่ปันว่าสมัยก่อนต้องมีคนนั่งแปลสดใส่หูฟังให้นักท่องเที่ยวฟัง เดี๋ยวนี้อัดเป็นเทปแล้ว อิตาพิธีกรมันคงพูดสคริปต์เดิมตลอดปีตลอดชาติ) เราไม่ได้ฟังเพราะพอฟังภาษาปะกิดออก  ไม่ออกก็ถามคุณโรสเอา จบช่วงแรก ก็ออกไปนั่งรถพ่วง Farm tour ต่อ บางคนบางทัวร์ก็มาแค่ดูตัดขนแกะก็กลับ ถ้ารวม Farm tour มันก็อีกราคาไง ของพวกเราดูหมดแหละ พี่ปันจัดมาให้ 


Farm tour นี่ก็นั่งรถไปผ่านทุ่งหญ้าป่าเขาของ AgroDome นั่นแหละ มีจอดให้ลงไปเริงร่าป้อนอาหารตัวอัลปาก้า มันน่ารักกว่าแกะอีก พวกพี่น้องแกะ ก็มีเดินกันทั่วไป ผ่านไปดูไร่ส้ม ไร่องุ่น ไร่กีวี่ ไร่ฟวีโจ้ (Feijoa: พืชท้องถิ่นของนิวซีแลนด์ ชิมแล้วเหมือนฝรั่งสุก แช่เย็นๆแล้วกินก็อร่อยดี) กลับมาสำนักงาน ร่ำลาพี่แอนนี่ สัญญากันว่า หลังจากเราไปเที่ยวเนเปียร์ขากลับมา จะนัดทานข้าวกับพี่แอนนี่





ออกจาก AgroDome เลี้ยวไปไม่กี่เลี้ยว เหยียบ 100 กม./ชม. ไปไม่กี่นาทีก็ถึงเป้าหมายต่อไป Skyline Rotorua ถ้าใครเคยอ่านตอนตะลุยเกาะใต้ของเรา อาจจะคุ้นหูนะ เพราะมันชื่อเดียวกัน เพราะมันคือเจ้าของเดียวกัน มี 2 ที่ คือที่ Queenstown กับ Rotorua นี่แหละ ระบบจัดการเหมือนกัน มีกิจกรรมเครื่องเล่นเหมือนกัน คือนั่งรถกระเช้าขึ้นไปด้านบน มีระเบียงให้เดินชมวิวเมืองได้สบายๆ มีร้านอาหาร อิ่มพร้อมชมเมือง มี Ludge track ให้เล่น เรา 3 คนจัดอาหารกลางวันกันบนนี้ ตอนควีนส์ทาวน์ขึ้นเย็นกิน Dinner มาโรโตรัวขึ้นเที่ยงเลยจัดบุฟเฟต์เที่ยง ไลน์บุฟเฟต์ก็พอๆกัน อิ่มดีแล้วก็เดินชมวิวถ่ายรูปพอย่อยแล้วไปต่อแถวเล่น Ludge กัน มี 3 route ให้เลือกเล่น ข้าพเจ้าชัดเจนที่ Beginner route ช้าชนิดเด็กแซง พี่เพลียตัวเอง 5555

ลงมาแล้ว ขับรถต่อไปอีก 200 ม. จริงๆเดินก็ได้นะ ไปเที่ยวสวนสัตว์กัน (บอกแล้ว concept ที่เที่ยวมันเหมือนกันเป๊ะๆกับเกาะใต้) "Rainbow Springs" เป็นสวนสัตว์เปิด+ปิด คล้ายๆกับ Willow Bank ที่เราไปที่ Christchurch คือมีส่วนเดินชมป่าเล็กๆ ที่มีเป็ดมีนกเดิน/บินกันให้ว่อน มีจิงโจ้ กระต่าย ไก่ มากมาย พวกเราไม่ได้สนใจกันมากนัก พุ่งตรงไปหาเจ้า Kiwi กันเลย ที่นี่เป็นศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์กีวี่แบบครบวงจร มีห้องปฏิบัติการ ที่ให้คนเข้าชมได้เป็นรอบๆ มีคนมาบรรยายให้ฟัง พวกเราไปครึ่งช่วงเวลา แต่มีหรือที่พวกเราจะไม่ได้ชม 555 พี่ปันและพี่แอนนี่คุ้นเคยกับจนท.ที่นี่อยู่ พอรู้ว่าพวกเรามา เลยเข้ามาอธิบายกันเป็นกรุ๊ปส่วนตัว พาดูวิธีเก็บไข่ ฟักไข่ ไปจนถึงออกจากไข่กันมาเลย แล้วก็พาไปเข้าห้องมืดดูกีวี่ ซึ่งคราวนี้โชคไม่ดี ไม่เห็นตัวเป็นๆแต่เห็นจากจอภาพ ที่ใช้กล้องอินฟาเรดคอยจับภาพมันไว้ ยืนดูจากจอเห็นกีวีตะคุ่มๆในรังพอได้อรรถรส 

ออกจากกีวี่ พี่แอนนี่เคี่ยวเข็ญให้พวกเราไปเล่นเจ้า Splash ที่บอกว่าเป็นเครื่องเล่นใหม่ กำลังฮิต พวกเราก็เดินไปงงๆ สุดท้ายก็รู้ตัวว่าโดนจับลงเรือ ฮ่าๆๆๆ นั่งวนๆชมวิวป่าไปแป๊บๆ ก็ทิ้งดิ่งลงมา กรี๊ดดดดดดดดด แม้จะรู้ว่าไม่สูงมาก แต่มันก็เสียวนิ ฮ่าๆๆๆๆ

ยัง! ยังไม่จบทัวร์ - -" ออกจาก Rainbow Springs สายกว่าแผนไปหน่อย พี่ปันจองทัวร์ที่ Te Puia ไว้ตอน 4 โมงครึ่ง แต่ที่เที่ยวในโรโตรัวมันก็อยู่ไม่ไกลกันนัก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงล่ะ Te Puia นี่มันก็เป็นที่ท่องเที่ยวสุดฮิตที่หนึ่งของโรโตรัว พื้นที่ภายในมีน้ำพุร้อนทั่วไปหมด พุ่งกันขึ้นมาร้อนชนิดไอร้อนคลุ้งไปทั่ว กลิ่นกำมะถันแสบจมูกกันเลย บ่อโคลนเดือดปุดๆก็มี ก็เดินชมได้ทั่วๆไม่ต้องเอาไกด์ก็ได้ แต่พี่ปันจองกรุ๊ปไว้ให้แล้ว ไปถึงทัวร์กรุ๊ปเราเริ่มออกเดินกันแล้วนะ รีบเดินตามไปก็ทันที่จุดแรกพอดี พี่ไกด์กำลังอธิบายเรื่องน้ำพุร้อนของที่นี่อยู่ กลิ่นกำมะถันแตะจมูกทันทีที่ไปถึง สมกับชื่อเสียงของโรโตรัวจริงๆ ว่าแล้วพี่ไกด์ตัวยักษ์ก็พากรุ๊ปลูกเป็ดออกเดินเข้าด้านใน ไปดูบ่อน้ำพุร้อนใกล้ๆ อธิบายเพิ่มนิดหน่อยก็ปล่อยเดินตามสะดวก น้ำพุร้อนนี่มีกระจายเต็มพื้นที่ ทั้งพุ่งสูง พุ่งไม่สูง เดินได้มากน้อยก็แล้วแต่ชอบ เราเดินวนๆแถบบ่อใหญ่ จนถึงเวลานัดก็กลับมารวมตัวกัน พี่ไกด์พาไปต่อที่บ่อโคลนเดือด บ่อนี้มันน่าลงไปคลุกจริงๆ (หรือชาติก่อนฉันจะเป็นควาย) โคลนเดือดปุดๆเหมือนขนมลืมกลืนรสช็อคโกแลตอย่างนั้นเลย







จบทัวร์น้ำพุร้อน/โคลนเดือดแล้ว  ก็รอเวลา ไปชมการแสดงกัน ที่นี่มีการแสดงของชาวเมารีให้ชมด้วย ต้องจองกันมานะ จะรวมอาหารเย็นด้วยก็ได้ ไม่รวมก็ดูการแสดงเฉยๆแล้วกลับ อาหารก็เป็นบุฟเฟต์ ก่อนถึงเวลาอาหารก็จะมีการเอาไก่ไปขุดหลุมฝัง แล้วจุดไฟโปะๆด้านบน เหมือนที่เราเจอมาหลายประเทศแล้วเหอะ  ได้ที่ก็มาขุดหลุมเอาไก่ออกมาให้กิน อารมณ์เหมือนไก่อบโอ่ง ไก่อบฟางบ้านเรานั่นแหละ 


พอถึงเวลาก็รวมตัวกันเลือกหัวหน้าหมู่จากกลุ่มนักท่องเที่ยว เพราะคนนี้ต้องเป็นตัวแทนพวกเรา รับคำเชิญจากหัวหน้าหมู่เมารีที่จะมาต้อนรับเรา ทำนองนี้ แล้วก็พาเดินไปห้องแสดง จากนั้นก็เป็นการแสดงพื้นเมือง เต้น ร้อง กันไป ก็ตื่นตาตื่นใจดี แลบลิ้นปลิ้นตากันจนเรามึน การแลบลิ้นถลึงตานี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวเมารี ว่ากันว่าแสดงความดุดัน เป็นการข่มศัตรู ทำนองนั้น... ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จบโชว์ก็ไปบุฟเฟต์ดินเนอร์ อย่าลืมชิมไก่หลุมนะ..... 555 หมดแรงเลยนะวันนี้ เที่ยวเยอะมากกกกกกกกกกกกก



Day3:จากโรโตรัวไปทัวร์เนเปียร์


อรุณสวัสดิ์โรโตรัว เมื่อวานเก็บไปเกือบหมด ทำไปได้...วันนี้จะมุ่งลงใต้ไปเที่ยวเมืองอาร์ตเดคโค่ นามว่า เนเปียร์ เมืองนี้โผล่มายังไงยังงงๆอยู่ แต่ที่แน่ๆพี่ปันบอกว่า ไม่มีแผนนะที่นี่ ต้นจัดมาเลย กร๊ากกกกก ไอ้เราก็เลย search เอา ดูแล้วที่เด่นๆที่เนเปียร์คือตัวเมือง สวยงามด้วยบ้านเรือนสไตล์อาร์ตเดคโค่ แล้วก็ไร่องุ่น-ไร่ไวน์ Mission Estate ที่ได้ชื่อว่าเป็นไร่ไวน์เก่าแก่โด่งดังที่สุดในเกาะเหนือ

เช้าก่อนจากโรโตรัว เราขับรถไป Rotorua Art Gallery & Museum เดินชมสนามคริกเก็ตสีเขียวสดด้านหน้า ป้าๆลุงๆสมาชิกชมรมกำลังตีคริกเก็ตกันป๊อกแป๊ก อากาศสดใสเหมาะแก่การเล่นกีฬาจริงๆ ยิ้มกับป้าๆไปสักพักก็เข้าไปชมในตัวอาคารซึ่งเป็นโรงอาบน้ำเก่า แต่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าดูด้านใน แค่เดินชมรอบๆ แล้วก็ออกมา เลาะไปอีกตึกที่ชื่อ Blue Pool เป็นโรงอาบน้ำเก่าเหมือนกัน ตอนนี้ก็ปรับปรุงมาเปิดบริการ ลองเดินเข้าไปดูโถงรับรอง โอ้โห...คลาสสิคจริงๆ 


เดินเล่นจนพอใจ ก็ขับรถไปแถบ Lake Drive จอดเดินเล่นตรงริมทะเลสาปโรโตรัว บรรยากาศดีอยู่ได้ไม่นาน ทัวร์จีนก็เดินมาทำลายบรรยากาศ - -“ เลยขึ้นรถบึ่งออกจากเมืองดีกว่า ไว้กลับมาแวะนอนอีกคืนขากลับละกัน





ขับรถมุ่งลงใต้ไปตาม State Highway 5 ผ่านเมือง Taopu เอาไว้แวะขากลับ รีบบึ่งไปเนเปียร์ก่อน จุดหมายแรกมุ่งหน้าไปกินเที่ยง ซึ่งคงเป็นบ่าย ที่ Mission Estate เจ้า GPS ตัวป่วนพาอ้อมขึ้นเขาไปอีกจนได้ สุดท้ายไปถึง Mission Estate เอาซะบ่ายแก่ ร้านอาหารหยุดพักจนได้ เหลือแค่พวก Appetizer ให้กินแกล้มไวน์ แต่พวกเราหิวเกินกว่าจะจิบไวน์ เลยซัดแต่อาหารว่างประทังชีวิตกันไป แล้วค่อยไป Wine tasting ด้านในอีกที ตัวอาคารก็สวยคลาสสิคดี สวนด้านหลังมีระเบียงที่มองลงไปเห็นไร่องุ่นได้กว้างไกล ถนนทางเข้าไร่ก็สวยดี มีต้นไม้ตลอดแนว พ้นแนวไม้ไปเป็นไร่องุ่น จอดเดินชมได้ขาไปหรือขากลับก็ตามใจ


อิ่มแล้วพวกเราเข้าไป Wine tasting กัน ที่นี่ไม่เสียเงินนะ ชิมได้ 5 ชนิด เค้าจะแนะนำมาให้ ชิมแล้วเราว่าไวน์ขาวดีมาก  แต่ก็ตัดสินใจสอยมาแดงขวด ขาวขวด หิ้วยิ้มกริ่มไปเช็คอินเข้าโรงแรม ที่ได้อัพแกรดเป็นห้องสวีท กรี๊ดดดดดด วิวทะเล.... งามมากๆ นั่งชมวิวกันได้ไม่นานก็โพล้เพล้เสียแล้ว



เย็นนี้ถามพนักงานที่โรงแรมว่ากินอะไรดี นางแนะนำร้านเด็ดๆให้ จากโรงแรมเดินไปได้ ร้านต้องจอง นางเลยโทรจองให้ พวกเราเดินชิลๆกันไป เข้าไปเป็นโต๊ะแรกเลยทีเดียว พนักงานเอาเมนูมาให้ ร้านนี้ขายอาหารเป็น Set Menu เปลี่ยนไปแต่ละวัน แล้วแต่วัตถุดิบที่มี เก๋มาก มี 2 เมนูให้เลือก จัดแจงเลือกกันไป เรื่องฮาบังเกิด เมื่อเด็กเมืองนอกกับเด็กนอกเมืองอย่างเรา ทำเรื่องอับอายขายหน้า (ด้วยว่าตามเมนู สั่ง Set Menu ราคา 50$ ถ้ารวม Wine pairing ด้วย +60$ เรา 2 คนอ่านกันยังไงนะว่า ถ้า Set Menu + Wine Pairing ด้วยเป็น 60$ โอ๊ยยยยย เพิ่มอีกแค่ 10$ ทำไมจะไม่เอา เค้าจัด Wine มาให้เข้ากับอาหารแต่ละจาน โอ๊ยยยย สุดยอด แต่จริงๆมันคือ 50+60 = 110$ นะ มิน่าแต่ละโต๊ะเค้าสั่ง Wine มาเป็นขวดกัน ขวดละ 40 หรือ 50 คุ้มกว่าเยอะ ไอ้เราก็นะ จิบเพลินไป แหม่...ดีจัง Wine Pairing มาเยี่ยมมาก พอคิดเงินก็ถึงบางอ้อ พูดกันว่าพรุ่งนี้เลิกกินข้าวไปกินหญ้ากันเถอะ คิดแล้วควายจริงๆ T__T )

กลับห้องนอนเคี้ยวเอื้องกันคืนนี้.....


Day4: สำรวจเหลี่ยมมุมแบบอาร์ตเดคโค่


เช้านี้เราใช้เวลาในการชมอาร์ตเดคโค่กัน จอดรถทิ้งไว้ที่โรงแรม เดินไปเที่ยวในเมือง สามารถขอแผนที่ได้จากทุกโรงแรม เค้าจะแนะนำ เส้นทางเดินชมเมือง มีตึกสไตล์เก๋ๆให้ดูเยอะแยะ ควรเดินเงยหน้าขึ้นมองตึกชั้นบนๆ เพราะห้องด้านล่างมักตกแต่งเป็นร้านขายของทั่วไป ลองหาข้อมูล ศิลปะอาร์ตเด็คโค่ มานิดหน่อย ได้ข้อมูลมาว่า เป็นรูปแบบศิลปะยุคหลังจาก Art Nouvo ซึ่งมาความละเอียดอ่อนสวยงาม โดย Art Deco นี่ใส่ความเป็นเรขาคณิตเข้าไปมากขึ้น จึงมีความเก๋ไก๋ปนคลาสสิค ลักษณะเหลี่ยมมุมชัดเจน เหตุที่บ้านเมืองแถบนี้มีสไตล์อาร์ตเดคโค เพราะในปี 1931 เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่เมืองเนปียร์ ทำให้อาคารได้รับความเสียหายอย่างมาก การบูรณะปรับปรุงอาคารในเวลาต่อมา ตรงกับช่วงเวลาที่ศิลปะแบบอาร์ตเดคโคได้เริ่มเข้ามามีบทบาทพอดี เลยนิยมสร้างอาคารเป็นลักษณะนั้น





เดินกันไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปเยอะแยะแถมด้วยช็อปปิ้งสร้อยหยกมงคลมาคนละเส้นกับโรส เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเอง ก็วันนี้วันเกิดเราล่ะ มาฉลองซะไกลเลยปีนี้ จัดไป 1 เส้นมงคล เที่ยงๆก็ต้องลาเนเปียร์เพื่อกลับไปโรโตรัว ขับกลับออกมาทางเดิม แวะเข้าไปที่ Taupo เอาตอนบ่ายๆ เมืองนี้ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวดังแห่งหนึ่งของเกาะเหนือ ถ้ามีเวลาก็น่าแวะเที่ยวสัก 1 วัน 1 คืน ลอง search โปรแกรมทัวร์ดู เห็นว่าชอบจัดมาแวะ มีที่เที่ยวและกิจกรรมให้เล่นหลายอย่างอยู่ อิ่มอาหารบ่ายแล้วถือโอกาสเดินชมเมือง Taupo กันหน่อย ก่อนไปจบที่การจิบกาแฟอยู่ริม Lake Taupo  บ่ายแก่ๆก่อนจาก Taupo ขับออกไปแวะดูน้ำตกฮูก้า (Huka Fall) กันหน่อย เพราะอยู่ใกล้ๆเมืองนี่เอง ถ้าใครอยากเล่น Shotover Jet ที่นี่ก็มีให้เล่นคล้ายๆที่ Queenstown อยู่ใกล้ๆน้ำตกนั่นแหละ

จาก Taupo ไปโรโตรัวราวๆ 90 กม. ประมาณ 1 ชม. พวกเราก็กลับมาถึงโรโตรัวตอนเย็นๆ คืนนี้เราพักที่โรงแรมมิลเลนเนี่ยม รร.ใหญ่อีกแห่งของโรโตรัว เข้าห้องพักแล้ว พี่ปันกับโรสออกไปสปาที่ Polynesian Spa อันโด่งดัง (อย่างที่เคยเล่า โรโตรัวนี่โด่งดังเรื่อง น้ำพุร้อน โคลนเดือด ทำนองนี้) สปานี้อยู่ใกล้โรงแรมมากแค่เดินข้ามถนนไป ไอ้เราอดเนื่องจากพันธกิจของผู้หญิงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียดายจริงๆ รอ 2 คนกลับจากสปา ก็ออกไปกินข้าวเย็นกับพี่แอนนี่ตามนัด พี่แอนนี่พาไปกินอาหารญี่ปุ่น ท่าทางร้านจะดังเพราะคนเต็มร้าน แถมมีรอคิวต่างหาก กินไปคุยไป สนุกอิ่มถ้วนหน้า ขอบคุณพี่แอนนี่จริงๆ


Day5: ภาระกิจพิชิตมิดเดิลเอิร์ธ


วันนี้เป็นวันพิชิต ภาระกิจพิชิตมิดเดิ้ลเอิร์ธ ก็วันนี้จะไปเที่ยวสถานที่ถ่ายทำหมู่บ้านฮอบบิท ก็คือ แคว้น Shire นั่นเอง สถานที่ถ่ายทำตั้งอยู่ที่เมือง Mata Mata ห่างจากโรโตรัวไป 67 กม. จัดอาหารเช้าเสร็จก็ต้องรีบบึ่งไปให้ทันเวลานัดตอน 10:00 ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชม.กว่าๆก็ถึง เห็นป้าย Hobitton Movie Set ก็เลี้ยวตามป้ายบอกทางไปเลย

เราไปถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ พี่ปันไปทักทายผู้จัดการร่างยักษ์นามว่าเฮนรี่ ฮีจัดกรุ๊ปให้พวกเราในคิวต่อไปประมาณ 10:30 การเที่ยวที่นี่ทุกคนต้องซื้อทัวร์เพื่อขึ้นรถรวมกันเข้าด้านในเป็นรอบๆไป มีไกด์แนะนำตลอดทาง คอยเล่าโน่นนี่ให้ฟัง

เข้าไปทักทายแกนดาล์ฟในห้องขายตั๋วเสร็จก็มารอคิวไม่นาน รถบัสคันของเราก็มาจอด สมาชิกมากหน้าหลายตาเดินขึ้นรถกัน ไกด์เราวันนี้ชื่อ ฌอน หนุ่มน้อยผู้แสนจะฮิป ฮีทำงาน 4-6 เดือน เก็บเงินแล้วก็ออกเที่ยวอีก 4-5 เดือน เงินหมดก็หางานทำใหม่ โอ้วว..สโลว์ไลฟ์มากๆ

รถบัสพาผ่านทุ่งหญ้าข้ามเนินเขาต่างๆ มีแกะยืนเล็มหญ้าหน้าตาเอือมๆเต็มไปหมด ผ่านเนินเขา 3-4 เนิน เห็น Shire อยู่ลิบๆในหุบด้านขวาให้ได้ชะแง้มองเพิ่มอรรถรสนิดหน่อย รถก็เลี้ยวมาจอด ทุกคนลงจากรถ เดิมตามพ่อหนุ่มฌอนกันต้อยๆเข้าหมู่บ้าน 

เข้ามาแล้วก็เห็น เวิ้งนั้นเลย เวิ้งในหนัง กรี๊ดๆๆๆ น่ารักๆ ฌอนก็บรรยายไปเป็นฉากๆ เรา 3 คนหาได้สนใจไม่ ย่อตัวเกาะรั้วเกาะประตูถ่ายรูปประหนึ่งฉันเป็นฮอบบิท  ดูๆไปแล้วมียัย 3 คนนี่แหละที่สดชื่นรื่นเริงพอๆกับ 2 สาวน้อยจากเยอรมัน คนอื่นๆเดินกันยังกะมาศึกษาพื้นที่ประวัติศาสตร์ เราก็เอาหูขวาฟังบ้าง หูซ้ายฟังบ้าง ส่วนมากฌอนแค่เล่าว่าตรงนี้จุดนี้มันถ่ายทำฉากไหน นึกกันออกมั้ยงี้ จริงๆน่าจะมีชาร์ตยกให้ดูเลยจะง่ายกว่านะ ว่าตรงนี้ไง ฉากนี้ไง เพราะบางทีพูดไปก็นึกไม่ออกนะ มีตั้งไตรภาค



บ้านทั้งหมดที่เราเดินดูคือการเจาะติดประตูที่เนินเขาแต่ละลูก ตกแต่งสวนหน้าบ้าน กั้นรั้วไว้ มีแค่นี้ เปิดประตูเข้าไปก็ตันนะ เพราะฉากในบ้านถ่ายทำในสตูดิโอหมด พวกเราต้องจินตนาการกันเอง เดินกันขึ้นไปเรื่อยๆจุดหมายปลายทางคือต้นไม้ใหญ่สีเขียวสด ซึ่ง... ฌอนว่าใบเขียวๆนั่นปลอม! เพื่อให้มันเขียวสดสวยทุกฤดูกาล เอากะเค้าซิ แต่ไฮไลต์จริงๆคือบ้านของบิลโบ แบกกินส์ ถ้าใครดูฮอบบิทก็คงจำได้ เป็นบ้านหลังที่แกนดาล์ฟโผล่มาจัดประชุมเหล่าคนแคระทั้งหลายโดยบิลโบไม่ได้รู้เรื่องด้วย และนับเป็นการรวมพันธมิตรในการเดินทาง และเริ่มมหากาพย์แห่งแหวนของกอลลั่ม

ท้ายสุดเดินไปถึงหมู่บ้านริมทะเลสาป ที่โดนเจ้ามังกรสมอว์กบุกถล่มนั่นไง ด้านในโรงเตี๊ยมที่เราดูในหนังว่ากลางคืนเค้าเฮอาปาร์ตี้ซัดเบียร์มีดนตรี เค้าจัดต๊ะอาหารไว้รองรับนักท่องเที่ยว มีอาหารว่างเครื่องดื่มขายด้วย แต่ทุกคนจะได้รับเครื่องดื่มฟรีคนละแก้วอยู่แล้ว เลือกได้เลย เราเลยจัดเบียร์สักแก้วสร้างบรรยากาศ นั่งพักผ่อนกันแป๊บฌอนเริ่มเรียกรวมพล คงได้เวลากลับ แต่เราเจอเฮนรี่ที่นี่ ฮีเลยชวนกลับรถส่วนตัว เดินออกด้านหลังนั่งรถกลับที่ทำการกัน พวกเราชมเฮนรี่ว่าบริหารจัดการได้ดีนะ เยินยอกันไปตามระเบียบ ถึงที่ช็อปปิ้งฮีเลยลดเปอร์เซนต์ให้ ฮิๆ

บ่ายโมงกว่าๆ พวกเราออกเดินทางต่อ เพราะมีอีกรายการจะไปเที่ยวก่อนกลับ Auckland คือ ถ้ำหนอนเรืองแสง Waitomo cave โปรแกรมท่องเที่ยวส่วนมากจะเที่ยวพร้อมกันเพราะมันอยู่ทางเดียวกัน ถ้ำที่นี่เป็นถ้ำหนอนเรืองแสงอันมีชื่อเสียงที่สุดของนิวซีแลนด์ เราเคยดูแล้วที่ Te-Anua ตอนไปเกาะใต้ แต่อันโด่งดังมันอยู่ที่นี่ก็ไปดูกันอีกนะ ออกเดินทางบ่ายกว่าๆตาม GPS บอกว่าใช้เวลาชม.กว่าๆ เพราะลงไปทางใต้อีกร้อยกว่ากม. แต่เอาเข้าจริงดันเจอปิดถนนซ่อมทาง รถติดยาว ต้องขับอ้อมไปมากว่าจะถึงปาไปบ่าย 3 กว่า แต่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะเที่ยวในถ้ำมันก็มืดอยู่แล้วเหอะ แต่ก็เฉียดฉิวที่มันจะปิดตอน 4 โมงเย็น 

เข้าไปด้านในก็เหมือนๆกับที่เกาะใต้ คือเดินดูหินงอกหินย้อย แต่ถ้ำที่นี่ใหญ่โตกว่าถ้ำที่เกาะใต้เยอะ เดินจินตนาการรูปร่างหินไปเรื่อยเปื่อย จนถึงจุดลงเรือ ก็ลงนั่งเรือ ลอยลำเข้าไปดูหนอนเรืองแสง ที่นี่มีเยอะจริง มองกันจนตาพร่า เต็มไปหมด ลอยลำไปพักใหญ่ ก็กลับออกมา เย็นย่ำพอดี บึ่งรถกลับโอ๊คแลนด์

วันนี้พี่ปันพาไปกินอาหารเวียดนามพื้นๆ ร้านสุดแสนธรรมดาที่พี่ปันว่ากินมานานตั้งแต่ร้านเล็กๆจนตอนนี้เปิดใหญ่ขึ้นคนเข้าคิว โต๊ะเต็มตลอดเวลา อร่อยดีเลยแหละ ชามใหญ่ให้เยอะ กินอิ่มอืด กลับห้องนอนสลบ 



Day6: ล่องเรือไปชิมไวน์


วันนี้วันเที่ยวโอ๊คแลนด์ แผนคือขึ้น Mt. Eden ไปดูวิวเมืองโอ๊คแลนด์ แต่ปรากฏว่าวันนี้บรรยากาศแย่เกินบรรยาย ครึ้มมาแต่เช้าขึ้นเขาไปคงไม่ได้เห็นอะไร เลยยกเลิกไปก่อน เช้านี้เลยไปดู Aquarium กันที่ Kelly Tarlton's Sea Life Aquarium ขับรถเลาะอ่าวไปเรื่อยๆไปถึงตั้งแต่มันยังไม่เปิด มีคนมาจอดรอกันหลายคันอยู่ เดินเล่นริมอ่าว ฝนดันลงพรำๆ ถ้าอากาศดีแถวนี้คงถ่ายรูปได้สวย

เข้าด้านในก็เหมือน Aquarium ทั่วไป มีสัตว์ทะเลสวยๆแปลกตา ตามถิ่นของมัน ที่น่ารักคือเพนกวิน ที่นี่เป็นคิงส์เพนกวินตัวใหญ่ เดินดุ๊กดิ๊กๆ พุ่งลงน้ำโชว์ เจ้านี่เจอเป็นตู้แรกเลย ไม่เหมือนที่อื่นๆที่เอาไว้ตู้หลังๆ เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวต้องเก็บลูกชิ้นไว้กินทีหลัง เดินเข้าด้านในที่เราสนใจคือปลาหมึกยักษ์ ยักษ์มากกกกก แต่ตายแล้วนะ เค้าเอาใส่ตู้ไว้ ตัวมันใหญ่ท่วมหัวน่ากลัวดี นอกนั้นก็มีฉลาม ปลากระเบน แล้วก็ปลาสวยๆแปลกๆ เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเด็กๆได้พอควร

ช่วงบ่ายเราจะไปไวน์ทัวร์กัน ต้องไปลงเรือที่ Auckland Ferry Terminal ตรง Quay St. เลยเอารถกลับไปจอดโรงแรม แล้วเดินไปท่าเรือกัน ระหว่างเดินชมเมืองชิลล์ๆฝนลงโครม จริงๆก็ลงมาแต่เช้า แต่ตอนที่เราหาข้าวเที่ยงกินกันนี่ลงซะหนักเลย ร่มแทบปลิว ไปต่างประเทศพกร่มคันเล็กไปด้วยเสมอๆนะนักท่องเที่ยว กันแดดกันฝนได้ พี่ปันพาลัดเลาะตึกไปทาง Queen St. เพื่อไปกินข้าวหน้าเป็ดหน้าไก่ ร้านเพื่อนแกอีกล่ะ พี่ปันนี่รู้จักคนไปทั่วนิวซีแลนด์เลยอ่ะเค้าว่า เจ้าของเป็นคู่ผัวเมียคนจีนหรือเวียดนามจำไม่ได้ ตัวผัวเคยทำทัวร์เลยคุ้นเคยกับพี่ปันดี ตอนนี้ธุรกิจ “BBQ King” ขายดีจนน่าปลื้มใจ ฮีเลยเลิกทำทัวร์มาขายเป็ดขายไก่กับเมีย

Wiheke Wine tour อันนี้พี่ปันก็ไม่เคยไป ก็ลองไปกัน จองทัวร์มาเรียบร้อยแล้ว กว่าจะเดินถึงก็จวนเจียนเวลาอีกล่ะ รีบไปออกตั๋ว ก็ได้เวลาขึ้นเรือพอดี Ferry ลำใหญ่โต เลือกนั่งตามสะดวก ไม่เร็วมากไม่นานมาก แค่พอหลับหลังอาหารได้กำลังดี ถึงแล้ว Waiheke Islands เกาะนี้มีชื่อเสียงด้านไร่องุ่น หลายคนมาค้างคืนที่นี่ ในตัวเมืองมีครบครัน ที่พัก, ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ร้านเหล้า ถนนก็ดี เช่าจักรยานปั่นเที่ยวก็ได้ แต่คงลิ้นห้อยเพราะเขาล้วนๆ ที่เที่ยวก็มีหลายที่อยู่ แต่เราซื้อแบบไวน์ทัวร์มา เลยมีตาลุงมารับ พร้อมรถบัสคันใหญ่ แต่ทัวร์มีแค่ 7 คน นั่งกันไม่กี่เบาะ ตาลุงแถลงว่าวันนี้จะพาไปชิมไวน์ 3 ที่ ตาลุงได้คัดสรรค์มาแล้ว ไปกันเลย 

ข้อดีของการนั่งบัสใหญ่คือได้วิวมุมสูง แถมพวกเราโชคดีที่สุด ฝนตกมาตลอดเช้า และที่เกาะนี่ก็มีร่องรอยเปียกปอนไปทั่ว แต่ตอนเราลงมาฝนหยุด และฟ้าเริ่มเปิด มองเห็นทะเลสีฟ้าๆ หญ้าเขียวๆ สวยงามน่าประทับใจ แวะจุดแรก Mudbrick Vineyard เป็นไร่ไวน์ที่มีชื่อเสียงของเกาะ มีร้านอาหารใหญ่โต วันนี้มีจองจัดงานแต่งงานด้วย พวกเราลงไปยืนสูดอากาศสดชื่นเต็มปอด มีผู้นำชมไร่ยืนถือถาดไวน์ขาวรอต้อนรับอยู่บนระเบียง แหม...บรรยากาศเริ่ดจริงๆ จิบไวน์ไปก็ฟังฮีบรรยายถึงประวัติของไร่องุ่น จำไม่ได้ล่ะ รู้แต่ไวน์ขาวรสชาติดีกว่าไวน์แดง เดินเข้าชมไร่องุ่นพอเป็นพิธี ก็ปล่อยช็อปปิ้ง จัดไป 2 ขวด

ที่ๆ 2 Goldie Vineyard เป็นไร่เล็กๆ แต่บรรยากาศเยี่ยมทีเดียว จัดห้องได้เก๋ไก๋ มีชีสมีขนมปังให้ชิมแกล้มไวน์ แต่ไวน์รสชาติธรรมดาเลยไม่ได้จัด เดินขึ้นเนินไปด้านบนของไร่ มองเห็นอ่าวด้านล่างได้ สวยงามบรรยากาศดี ยืนจิบไวน์ชมวิว ชักเริ่มมึนๆ

ที่สุดท้าย Te WHAU Vineyard ส่วนร้านอาหารริมผาดูเก๋ไก๋มาก วิวแจ่มมาก แต่วันนี้ร้านปิด ตาลุงพามาทำไมฟะ แต่เจ้าของก็อยู่เปิดไวน์บาร์ให้เราชิม ไวน์เค้าได้รางวัลอยู่ แต่ขวดที่ชิมไม่ใช่ปีที่ได้รางวัล โรสเลยแหย่ว่าขนาดอันนี้ยังอร่อยถ้าอันได้รางวัลคงเยี่ยม แหม..พี่แกเลยบอกโอเช...จัดไป แกเปิดให้ชิม อืมมม มันก็อร่อยดี มีคุณแม่กับคุณลูกสาวจัดไป 1 ขวด คู่ผัวเมียฝรั่งเศสชิมแหลกแต่ไม่ซื้อสักที่อ่ะ




จากการชิมไวน์หลายที่หลายร้านใน 4-5 วันที่ผ่านมา ตามประสาลิ้นสากๆของเรา เราว่าเกาะเหนือนี่ Chardonnay ดีใช้ได้ จิบแล้วชอบแทบทุกที่ แต่พวกไวน์แดงยังสู้เกาะใต้ไม่ได้ ตามประสาลิ้นสากๆนะ คอไวน์ทั้งหลายควรไปลองเอง จิบเพลินๆวิวงามๆอากาศดีๆ เมาเอาง่ายๆบอกเลย ฮ่าๆๆ


3 ที่พอดีมึน รถก็วนให้ชมวิวขากลับมาส่งที่เฟอร์รี่ นั่งกลับโอ๊คแลนด์ หลับสลบกันมาถึงท่าเรือตอน 5 โมงครึ่ง เพื่อนพี่ปันอีกคนมารอรับ เธอเป็นชาวเวียดนามที่มาทำงานตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แต่งงานกับสามีมีลูกสาว 2 คน สนิทสนมกับพี่ปันอย่างดี ยังไงก็จะขอนัดเจอเลี้ยงข้าวสักมื้อ วันนี้เลยได้กินร้านอาหารมาเลเซีย แต่อาหารเหมือนอาหารจีนเลย อร่อยดีด้วย 


Day7:  บ๊าย บาย โอ๊คแลนด์...... บ๊าย บาย นิวซีแลนด์


เช้าสุดท้ายของทริป ตื่นมาอากาศดี๊ดี... จัดการอาหารเช้าเสร็จก็ Check out ออกจากโรงแรมเลย เช้านี้สั่งลาโอ๊คแลนด์กันที่ Mt. Eden ขับรถวนๆขึ้นไปได้ถึงยอดเขากันเลย บรรยากาศวันนี้ดีมาก สมกับการเลื่อนโปรแกรมมาวันนี้ ถ้ามาเมื่อวานคงไม่ได้เห็นอะไรแถมเปียกปอนอีกต่างหาก ระหว่างทางเห็นคนปั่นจักรยาน หรือวิ่งขึ้นมากันหลายคนอยู่ แค่เห็นก็ลิ้นห้อยแทนแล้วเพราะเขาชันๆดีๆนี่เอง แต่อากาศด้านบนดีจริงๆ วิวก็สวย เห็นได้ 360 องศากันเลย ยืนชมบรรยากาศกันจนพอใจก็โบกมือลานิวซีแลนด์กันที่นี่ล่ะ 




ไปสนามบินกันโดยไม่ลืมแวะเติมน้ำมันใกล้ๆสนามบิน ส่งคืนรถ แล้วก็เข้าสนามบินกัน มีร้านให้ช็อปปิ้งเยอะอยู่ กินข้าวเดินเล่น ใช้เวลาในนั้นพอสมควร เราเดินไปที่เกทก่อนเวลาบอร์ดดิ้งประมาณ 15 นาที แต่งงมาก ไม่มีคนแม้สักคนเดียว เฮ้ย! นึกว่าเปลี่ยนเกท จะถามใครก็ไม่มีใครให้ถาม เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ก็ไม่มีคนมีแต่โทรศัพท์ให้โทรถาม โทรถามแล้วชีก็ยืนยันว่าเวลาเดิมประตูเดิม ใจอยากพูดกับมนุษย์เป็นๆเห็นหน้า เลยเดินมาถามเจ้าหน้าที่แบงค์รับแลกเงิน ชีบอกว่าถ้ามันบอกอีก 10 นาทีก็อีก 10 นาที รอไปก่อน เลยเดินลงไปเกทอีกรอบ เจอฝรั่ง 2 คน อาการเดียวกัน เลยคุยกันว่า Flight เดียวกันนะ แล้วก็ตกลงนั่งรอกันแบบหลอนๆไร้ผู้คน เชื่อมั๊ย 1 นาทีก่อนเวลาเปิดเกท มีเจ้าหน้าที่ลงมาจริงๆ ผู้โดยสารก็ทยอยลงมากัน โอ้โห.....ตรงเวลาแบบไม่เคยเจอ มาถึงปุ๊บเปิดเกทเลย


บ๊ายบาย....กลับบ้าน ขึ้นเครื่องจิบไวน์ดูฮอบบิทอีกตอนที่เหลือ ครบไตรภาคพอดี



Travel Tips


ทีพักหลักหลายตังค์



อย่างที่เล่าว่ามางวดนี้ มากับเจ๊ใหญ่ผู้กว้างขวางแห่งกีวี่แลนด์ ที่พักหลักร้อยเราไม่พัก เราได้พักแต่ที่ดีหรูเริ่ด เป็นบุญตรูดเราจริงๆ ^^ ใครอยากตามนอนแบบเราเชิญตามสะดวก


Auckland
Sky City Hotel : โรงแรมกลางเมือง ใหญ่โต มีคาสิโนให้ละลายเงิน ที่จอดรถเพียบแต่ต้องเสียเงิน แขกโรงแรมได้ลดราคา ห้องพักสะอาดเอี่ยมตามมาตรฐาน อาหารเช้าไม่หลากหลายแต่กินได้พออิ่ม


Rotorua
Sudima Rotorua : โรงแรมเก่าแก่ดั้งเดิมของโรโตรัว อยู่ติดทะเลสาปโรโตรัวเลย วิวงามมาก ตัวโรงแรมเป็นสไตล์โบราณหน่อยแต่ก็ปรับปรุงมาแล้ว เราเลือกห้อง Family มี 2 ห้องนอนพร้อมโถงกลางปาร์ตี้ได้ มีไวไฟให้เล่นได้ด้วยนะ แต่ต้องไปต่อรองขอที่เคาเตอร์มา
Millenium hotel Rotorua : โรงแรมใหญ่โต ใหม่เอี่ยม อยู่ไม่ไกลจาก Sudima วิวงามใช้ได้ อยู่ใกล้ๆ Polynesian spa เดินไปสปาน้ำแร่ได้เลย


NapierScenic Hotel : บูทิคโฮเทลที่วิวดีเริ่ดอยู่ริมอ่าว Hawke ได้อัพเกรดเป็นห้องสวีท เพราะมีสัมนา โชคดีที่สุด โรงแรมสวย พนักงานน่ารักให้คำแนะนำได้ทุกอย่าง ไวไฟฟรี จากโรงแรมเดินไปที่กลางเมืองย่านช็อปปิ้ง ย่านตึกอาร์ตเดคโค่ได้ไม่ไกล ข้ามถนนไปเดินชิลริมหาดดำก็ได้


***

อาหารอร่อยรายทาง


จริงๆก็กินเรื่อยเปื่อยไปนะ ไม่ได้ตั้งใจเฉพาะเจาะจงอะไร บางมื้อก็มีแมคฯบ้าง อาหารจีน ญี่ปุ่น อะไรเรื่อยไป

Auckland 
BBQ King : ร้านอาหารจีน กลางเมือง กินง่ายขายคล่อง จานใหญ่กินอิ่ม อร่อยทีเดียว

Rotorua
Herb & Spices : ร้านอาหารไทยรสชาติดี ถ้าคิดถึงอาหารไทยเชิญแวะ

Skyline Rotorua Buffet Lunch/Dinner : อิ่มพร้อมชมวิวเมืองโรโตรัว ไลน์อาหารใช้ได้ เราเตรียมน้ำจิ้มซีฟู๊ดขวดๆไปด้วย จิ้มหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์เริ่ดเลย แกะย่างก็อร่อยใช้ได้ ไปจังหวะดีๆไม่เจอทัวร์จะมีความสุขมาก

Napier
Pacifica : ร้านนี้ที่โรงแรมแนะนำมา อร่อยมากๆ อาหารเป็นเซ็ต มีให้เลือก1-2 เซ็ต เปลี่ยนไปแล้วแต่ของสดที่พ่อครัวแม่ครัวไปสอยมาจากตลาดแต่ละวัน เค้าว่าเก๋ดี มีจัด Wine pairing ด้วยถ้าต้องการ อาหารแต่ละจานเสิร์ฟคู่กับไวน์เข้ากั๊นเข้ากัน



***


ระหว่างรอขึ้นเครื่อง ก็สอยเจ้า 2 เล่มนี้มาจนได้ เล็งๆจะซื้อตั้งแต่ตอนทัวร์ล่ะ


จบภาระกิจพิชิตไวน์ เอ๊ยยยย ภาระกิจพิชิตมิดเดิ้ลเอิร์ธ





1 comment: