Jan 1, 2013

ย่ำต๊อก..โตเกียว

TRIP OCT.2012 : TOKYO, JAPAN

Tokyo trip photo galley at pbase.com


ย่ำต๊อก..โตเกียว

กลับจากออสเตรเลียได้แค่ 2 อาทิตย์ก็บินไปโตเกียว! ตัดสินใจฉับพลันบินตามน้องอีกคนที่ไปก่อน ได้วีซ่าก่อนไปแค่ 2 วันเหอะ ถ้าไม่ผ่านล่ะซวย! คราวนี้เลือก China Eastern Airline ไป transit ที่เซี่ยงไฮ้ บินรวมๆประมาณ 10 ชม.จากที่บิน Direct flight แค่ 6 ชม. แต่ประหยัดได้หมื่นนึงก็เอาวะ แต่ค้นพบว่ามันไม่ดีเอาซะเลย ที่นั่งค่อนข้างแคบ อาหารก็ไม่ค่อยดี และการไป transit ที่จีนมันเสียเวลาตรงที่ต้องไปต่อแถวเข้าตรวจ passport และเข้า security scan อีกด้วยแม้คุณจะแค่ต่อเครื่อง (แต่แยกเคาเตอร์ต่างหาก จากคนที่จะผ่านเข้าเมือง) ถ้าคนเยอะๆก็รอกันนานหน่อยเพราะจนท.มีแค่ 2-3 คน และ เกทก็ไกลทุกที่ แถมสนามบินจีนก็เปลี่ยนเกทมั่วไปมา ต้องคอยดูดีๆ แถมขากลับดันเอาไปนั่ง Shanghai air ต่างหากซึ่งดูเครื่องไร้คุณภาพ หูฟัง ไฟอ่านหนังสือ ปุ่มอะไรๆก็ใช้ไม่ได้ ไฟรัดเข็มขัดก็ติดบ้างไม่ติดบ้างในแต่ละที่ แอร์-สจ๊วต เอาแต่มานั่งหลับไม่เก็บถาดอาหาร บลาๆๆๆ ดีใจที่รอดมาได้ เฮ้อ...คุ้มมั๊ย

ในที่สุดก็มาถึง Narita International Airport ได้ตามเวลา แรกเริ่มว่าจะนั่งรถไฟออกไปเที่ยวเมืองนาริตะฆ่าเวลา เพราะน้องอีกคนจะมา TG ถึงหลังเราสัก 3 ชม.กว่า ปรากฏว่าดูเวลาผิด มันแค่ 2 ชม.เศษๆ เลยคิดว่าไม่ไปล่ะ เพราะกว่าจะไปงมหาตั๋วหาสายรถไฟ (ก็เพิ่งลงเครื่องเพิ่งเคยมาโตเกียวนะ) กว่าจะนั่งรถไฟไปแม้จะแค่สถานีเดียวก็ตีซะว่า 20-30 นาที กว่าจะไปเดินเที่ยว เดินหาวัด กว่าจะกลับมาขึ้นรถไฟเข้าสนามบินอีก คงสูสีๆ ถ้าไม่หลง! เลยตัดใจไม่ไป นั่ง shuttle bus free จาก Terminal 2 ที่เครื่องเราลงไป Terminal 1 เลย ไปเดินช็อปปิ้งดูอะไรเล่นในนั้นพร้อมหาอาหารเที่ยงทาน มันมี Airport mall ให้เดินเล่นได้ แต่เรายังไม่ซื้ออะไรหรอก ดูราคาไว้ก่อน แล้วก็นั่งเล่น Free wifi ไปอีกสักพัก (Free wifi ที่นี่จะมีบางตำแหน่ง และคุณต้องกด accept agreement ก่อน มันมีให้เลือกภาษาอังกฤษนะ ลงทะเบียน email address ด้วย แค่นั้นแหละ)

เมื่อเจอกับน้องแล้วก็เลือกนั่งรถไฟ express เข้าเมือง คือต้องบอกว่า รถไฟของญี่ปุ่นมีหลายประเภทมาก ถ้าเอาประหยัดก็เลือกรถธรรมดา (เลือกได้ว่าเอาของบริษัทอะไร หลักๆคือ JR และ Keise) ซึ่งมันก็มีเส้นทางของมันต้องศึกษาดูว่าเราจะไปตรงไหน นั่งของใครไม่อ้อม และรถเที่ยวกี่โมงจอดป้ายไหนบ้าง ป้ายที่เราจะลงจอดมั๊ยหรือไม่จอดก็ต้องวางแผนว่าลงที่ไหนไปต่อสายอะไร บลาๆๆๆ และทั้ง 2 เจ้านี้ก็มีรถด่วนด้วย JR ก็เป็น Narita Express ส่วน Keise ก็เป็น Sky liner อันนี้อารมณ์เป็น Airport Express บ้านเราซื้อตั๋วที่เคาเตอร์มีเลขที่นั่ง มีที่วางกระเป๋า และจอดแค่ไม่กี่ป้ายจนถึงกลางเมือง น้องเค้าเลือก Sky liner ราคา 2,400¥ แพงใช่ย่อย เราพักแถบ Ikebukuro รถด่วนไม่จอดเลยต้องลงที่ Ueno station แล้วต่อรถไฟอีกสายไปลง Ikebukuro station ลากกระเป๋าเดินไปที่พัก ถึงที่พักเย็นพอดี!

การเดินทางในญี่ปุ่นหลักๆคือรถไฟ อย่างที่บอกว่ามีสายหลัก 2 เจ้าคือ JR และ Keise มันเชื่อมถึงกันได้หมด โยงใยยิ่งกว่าใยแมงมุม แถมยังรถไฟใต้ดิน Metro อีกสาย และรู้สึกว่ายังมีอีก การเดินทางอย่างประหยัดจึงควรวางแผนการท่องเที่ยวในแต่ละวันว่าจะไปที่ไหน route ไหน หากซื้อเป็นตั๋ว 1 Day pass ได้ก็จะประหยัดเพราะมันขึ้นลงกี่เที่ยวก็ได้ใน 1 วัน แต่มันใช้มั่วไม่ได้นะ (ยังศึกษาไม่ละเอียดพอ และเราซื้อไปวันเดียวที่ไป Disney Land เพราะ ไปไกล ไป-กลับราว 800¥ แต่ 1Day pass มันแค่ 710¥ เป็นต้น วิธีสะดวกอีกแบบคือซื้อบัตร Pasmo card หรือ Suika card ซี่งเป็นบัตรเติมเงิน ค่ามัดจำบัตร 500¥ หาซื้อตามตู้อัตโนมัติหรือซื้อที่เคาเตอร์ ไม่ต้องห่วง ตู้มันง่ายกว่าที่คิดจิ้มเลือกภาษาอังกฤษก็ซื้อได้ ถ้าคุณไปเมืองนอกได้ก็ไม่ยากหรอกน่า ลองดู วิธีนี้เข้าออกรถไฟเส้นไหนก็ไม่ต้องคิดแปะมันอย่างเดียว สะดวกดี แต่ไม่ประหยัด ถ้าอยู่ไม่กี่วันก็อย่าไปคิดมากเลย บัตร 2 แบบนี้ถามคนญี่ปุ่นว่าต่างกันอย่างไร เจ๊แกบอกว่าต่างที่หน้าตาบัตรเพราะมันของคนละบริษัท - -อืมมม ใช้ได้เหมือนกัน และเอาไปใช้ซื้อของตามร้านสะดวกซื้อได้ด้วย อารมณ์เหมือนบัตรปลาหมึกของฮ่องกง (Octopus card) และบัตร T-money ของเกาหลีเลย

ไปเที่ยวอะไรมาบ้าง



◙ Tokyo Tower (東京タワー): http://www.tokyotower.co.jp/english/


สัญญลักษณ์เก่าเก๋ากึ๊กของกรุงโตเกียว หน้าตาอารมณ์คล้ายๆหอไอเฟลเหมือนกันนะ หอนี้สูง 333 เมตรถือว่าสูงที่สุดในโตเกียวมานานจนมาโดน Tokyo Sky Tree โค่นแชมป์ลงเมื่อต้นปีนี้เอง การไปก็ไปได้หลายสายมากเลือกเอาว่าคุณมาจากทางไหน ต่อรถไฟให้น้อยๆจะได้ไม่เวียนหัวนะ. ออกมาจาก exit หรือดูป้ายเอา หรือดูแผนที่ท่องเที่ยวตามสถานีเอา เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอีกที่หนึ่งหาไม่ยากหรอก พอขึ้นมาบนดินแล้ว มองซ้ายขวาหน้าหลังรอบๆก็จะเห็น เดินมุ่งหน้าไปหามันนั่นแหละ เราไปตอนกลางคืนจะสองทุ่มแล้วด้วย แต่เข้าไปร้านขายของที่ระลึกด้านล่างยังไม่ปิด เชิญช็อปได้ แล้วก็ซื้อบัตรเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบน ค่าขึ้นไปชั้นกลาง 150 ม. ราคา 820¥ มันไม่รับบัตร!  แล้วชั้นบน 250 ม. แค่ 600¥ แต่มันบอกปิด ทั้งที่ยังไม่ 3 ทุ่มเลย งงมากเอะอะจะให้ไปชั้นแพงเหอะ ธุรกิจเงินสด เซ็งนิดๆพกเงินสดมาไม่เยอะ กะเอาไว้ซื้อของ ซื้อขนม ร้านขายของขายขนมข้างในก็รับแต่เงินสดนะคะ สามารถหาซื้อโตเกียวบานาน่าที่นี่ได้ มีแบบ original สีเหลือง และแบบลายม้าลายที่เป็นไส้คาราเมล รวมทั้งขนมอื่นๆอีกหลายอย่าง ของที่ระลึกก็มี จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไปด้านบน สามารถชมวิวได้รอบด้าน มีป้ายบอกสถานที่สำคัญๆทุกด้าน มาตอนกลางคืนได้ชมบรรยากาศแสงสีโตเกียว ด้านในเค้าทำมืดจะได้เห็นวิวชัดๆ แต่กลายเป็นว่าที่นั่งแต่ละที่จะมีนั่งเป็นคู่ทำไรกันบ้างไม่รู้ วู๊วววว.... จากที่นี่มองเห็น Tokyo Sky Tree ไว้จะไปตอนกลางวัน  แล้วยังเห็น Rainbow bridge ด้วย เดินเล่นจนพอใจก็กลับลงมาช็อปต่อ 555 ใกล้ 3 ทุ่ม ร้านเริ่มปิดแล้ว เราก็กลับด้วย

การไป:  
  • Metropolitan Subway  -  Oedo Line >> Akabanebashi St. Exit Akabanebashi Gate (5 min. walk)
  • Tokyo Metro -  Hibiya Line >> Kamiyacho Station Ext No.1 (7 min. walk)
  • Metropolitan Subway - Mita Line >>  Onarimon Station  Exit No. A1 (6 min. walk)
  • Metropolitan Subway - Asakusa Line>> Daimon Station  Exit A6 (10 min. walk)
  • JR - Yamate Line  >> Hamamatsucho St. North Exit (15 min. walk)


 Ikebukuro (池袋) : http://www.japan-guide.com/e/e3038.html




ย่านอิเคบูคูโรที่เราพักเป็นย่านท่องเที่ยวทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วงกลางวันเราออกไปเดินเล่นแถบห้าง Tobu, Seibu, Marui มีแต่ร้านไฮโซทั้งนั้นเลย เดินต่อไปยังถนนที่อยู่ตรงข้ามห้าง Seibu ถนนนี้มีร้านขายของตลอดทาง เรียกว่าเป็นแสงสีของย่านนี้ก็ได้ เพราะ Ikebukuro ได้ชื่อว่าเป็น Center of Otaku Culture คือแหล่งของพวกบ้าเกมส์นั่นเอง จึงมีร้านค้า ร้านเกมส์ เยอะแยะ เราเดินต่อไปที่ห้าง Sunshine City เพื่อไป Disney shop ไปซื้อตั๋วเข้า Disney Sea ล่วงหน้า ระหว่างทางแวะร้าน Bookoff สาขาใหญ่โต เพื่อมองหา CD เก่า CD มือสองด้วย 

ย่านนี้ตอนกลางคืนมีร้านอาหาร มีคลับ มีบาร์ มีร้านตู้เกมส์ เยอะแยะคึกคัก เราก็แค่แวะกินอาหาร ราเม็ง ข้าวหน้าเนื้ออะไรแค่นั้นล่ะค่ะ ไม่ได้เข้าเที่ยวคลับหรอก มันดูเป็นคลับสำหรับผู้ชายซะส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีผู้ชายใส่สูทหน้าตาใช้ได้มาเดินเกร่ตามแยกเยอะอยู่ เดาเอานะว่าเป็นพวกโฮสต์ที่คอยเป็นเพื่อนเที่ยว ไม่ได้ลองไปติดต่อดู 55555



◙ Yoyogi Park (代々木公園) & Meiji Jingu (明治神宮) :  http://www.japan-guide.com/e/e3034_002.html & http://www.meijijingu.or.jp/english/


สวนโยโยหงิและศาลเจ้าเมจิอันนี้เป็นที่ๆน้องเค้าอยากไปค่ะ เราก็เลยไปกันตอนสายๆวันอาทิตย์จะได้เที่ยวฮาราจูกุวันอาทิตย์ด้วย นั่งรถไฟ JR Yamanote line ไปลงสถานีฮาราจูกุเดินออกมานิดเดียวก็ถึงเลย ช่วงแรกจะเดินผ่านสวนไปก่อน ร่มรื่นด้วยต้นไม้สูงใหญ่ เดินต่อไปเรื่อยๆตามคนเขาไปนั่นแหละ จะไปถึงตัวศาลเจ้า ก่อนเข้าศาลเจ้าทางซ้ายมือจะมีบ่อน้ำพร้อมกระบวยวางไว้ให้เข้าไปล้างมือล้างปากก่อนเข้าด้วยค่ะ เป็นธรรมเนียมของเค้า
วันนี้มีคนใส่ชุดประจำชาติมาเยอะไม่รู้มีงานอะไร ส่วนมากเป็นเด็กๆเราเลยถ่ายรูปสนุกไป เข้าไปถึงศาลด้านใน ในศาลาหลักมีพิธีการอยู่ถามคนแถวนั้นได้ว่าเป็นงานแต่งงาน เลยโชคดีได้ดูการแต่งงานแบบดั้งเดิม เสร็จพิธีด้านในเค้าเดินแถวออกมาด้านนอกด้วย พิธีอลังการใช้ได้น่าจะเป็นคนใหญ่โตโก้หรูอยู่ นอกจากที่ศาลาใหญ่แล้ว ศาลเล็กด้านข้างก็มีอีก 1-2 งาน สงสัยเป็นวันดี แล้วยังมีพวกถ่ายรูปสตูดิโออีกหลายคู่ เลยได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง
ไหว็ศาลเจ้าแล้วก็มาเขียนใบขอพร มีทั้งแบบเขียนบนไม้ (ต้องไปซื้อแผ่นไม้
500¥) หรือเขียนใส่ซองหย่อนลงตู้ก็ได้อันนี้ฟรี อธิษฐานซะแล้วหย่อนหรือแขวน เห็นภาษาไทยเพียบเลย จากนั้นก็เดินไปหาซื้อพวกของศักสิทธิ์ต่างๆไม่รู้เรียกอะไร พวกซองหรือถุงที่มีของศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเรื่องต่างๆเช่น เรื่องความรัก ครอบครัว สุขภาพ การเดินทาง ฯ เราซื้อเกี่ยวกับความปลอดภัยของการเดินทางมาจะเอาไปใส่รถเพราะเพิ่งซื้อรถใหม่ ก็ราคาประมาณ 800¥ ถ้าจำไม่ผิด



ออกจากวัดเดินผ่านสวนออกมาที่เดิม ก็ข้ามถนนไปที่ถนนฮาราจูกุ ไม่ได้หาข้อมูลมาเลยไม่รู้จะเดินทางไหน ก็เลยเดินตามๆคนเค้าไป คนเยอะมากขวักไขว่ไปหมด ข้ามมาเริ่มแรกก็เจอน้องๆแต่ง
costplay เป็นกลุ่มๆ มีคนขอถ่ายรูปเราเลยกดไปด้วย เดินต่อไปเลี้ยวเข้าถนนใหญ่ Omotesando ย่านนี้ร้านช็อปปิ้งก็เยอะ เป็นร้านใหญ่ๆ ของแบรนด์ก็มี เป็นแกลเลอรี่ก็เยอะ ถ้าเลี้ยวเข้าตามซอกตามซอยจะเป็นร้านบูติคเล็กๆ ร้านกาแฟ ก็น่ารักดี เราเดินเข้าซอยด้านซ้ายมือไปเรื่อยทะลุไปออกอีกด้าน โผล่ไปเจอย่าน Takeshita เห็นคนคึกคักมาก น่าจะเป็นแหล่งช็อป เลยข้ามไปดู เข้าไปข้างในจะขายเสื้อผ้าวัยรุ่นมีร้านขนมร้านกิ๊ฟต์ช็อปของสาววัยรุ่นเยอะแยะ ขายของดาราเกาหลีก็มีนะ เดินไปจนสุดก็ออกมาสถานีรถไฟเดิมที่เราออกมาเพียงแต่คนละ exit สรุปว่าเราเดินเป็นวงกลมนั่นเอง ก็ถือว่าพอได้บรรยากาศฮาราจูกุเล็กๆ เราต้องไปต่อแล้วเพราะมีนัด ไม่ได้ไปชินจูกุเลย ติดไว้ก่อน ถ้ามีเวลาควรมาเดิน ชินจูกุ ฮาราจูกุ และชิบูญ่า เพราะมันอยู่ต่อเนื่องกัน มาวันเดียวเที่ยวได้หมด

 Tsukiji Market (築地市場): http://www.japan-guide.com/e/e3021.html


ตลาดซึคิจิเป็นตลาดค้าปลา ผักและผลไม้ ที่โด่งดังในแถบนี้ นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมตลาดได้แต่ต้องหลัง 9 โมง ช่วงเช้าให้พ่อค้าเค้าค้าขายทำงานกันก่อนจะไปยืนถ่ายรูปชูสองนิ้วขวางทางเค้า ที่น่าสนใจอีกอย่างคือการประมูลปลาทูน่าที่จะทำกันตอนเช้ามืดประมาณตี 5 โน่น นักท่องเที่ยวก็ไปชมได้แต่ต้องลงทะเบียนก่อนเค้าจำกัดแค่ 120-150 คนต่อวันเท่านั้น น่าไปดูนะเคยเห็นแต่ในทีวี อยากไปเห็นปลายักษ์ที่ขึ้นจากเรือสดๆเหมือนกัน เอาไว้งวดหน้า (อีกแล้ว 555)


นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปเดินชมตลาดสดจะแวะชิมซูชิ ซาซิมิสดอร่อยด้วย มีร้านอาหารเปิดอยู่หลายร้านด้านหน้าตลาด แต่ละร้านไม่ใหญ่โต ร้านดังๆจะมีคนคิวยาวมากกกก อย่างวันที่เราไปถึงนั่นสายกว่าที่คาดเพราะมัวแต่หลงสายรถไฟเลยไปถึงเอาเกือบสิบโมง คิวบางร้านยาวเป็นหลายสิบคิวแล้ว เราเลยเลือกร้านที่ไม่มีคิวซะเลย เข้าไปซัดข้าวหน้าปลาดิบ ซัดซูชิ สดๆอร่อยๆกันก่อนไปลุย
Disney Sea (มันห่างกันแค่ 2 ป้ายเอง)
การไป:  
  • Oedo Subway Line ไปลง Tsukiji Shijo Station. ออกมาก็ถึงเลย



หนึ่งในธีมปาร์คของ Tokyo Disney Resort ค่ะ อีกอันคือ Tokyo Disney Land ที่ทุกคนคงเคยได้ยินชื่อแน่ๆ อันนี้เป็นอีกส่วนที่อยู่ใกล้ๆกันแต่นี่อยู่ติดทะเลเลยเรียก Tokyo Disney Sea

พวกเราไปซื้อตั๋วล่วงหน้าจากร้านดิสนีย์ในเมือง มาถึงก็เข้าได้เลย แต่อย่างว่าผิดแผนเลยมาสาย มาถึงก็เที่ยงแล้ว แถมไม่ได้ดูตารางอะไรมาเลย เลยเดินวงรอบให้ทั่วและเลือกเล่นของที่พอต่อคิวไหว หลายอันปิดรับ
Fast pass แล้ว (คือจ่ายเงินเพิ่มที่หน้าทางเข้านั้นเลยจะได้คิวแทรก ไม่ต้องยืนรอคิวยาว ไปที่อื่นแล้วกลับมาตามช่วงเวลาได้เลย) อย่าง Toy story เป็นอันเปิดใหม่นี่คิว 2.30 ชม.และไม่รับ Fast pass เราเลยขอบาย ไปเล่นเครื่องเล่นอื่น และไปนั่งเรือ  แต่ไปเสียเวลากับอินเดียนน่าโจนส์อยู่ร่วม 2 ชม. เลยพลาดพาเหรดอย่างน่าเศร้าใจ (แถมเล่นแล้วเศร้า เพราะมันดันเหมือนที่ Disney land L.A. เลย แง....) 

จากนั้นไปต่อแถว Journey to the Center of the Earth กันอีกเป็นชม. สุดท้ายจบลงที่โชว์ Fantasmic ตอนสองทุ่มครึ่ง เป็นแสงสีเสียงกลางน้ำก็งามดี แค่นี้ก็หมดแรงแล้ว พลาดโชว์หลายอัน เพราะไม่ทำการบ้านมา ไอ้เราก็นึกว่าคนอยากไป (เพื่อนชาวสิงคโปร์) เค้าจะหาข้อมูลมาเพราะเราก็ยุ่งมากก่อนไป ที่ไหนได้น้องไม่หาไรมาเลย เข้ามาแล้วบอกไม่รู้ว่าจะเล่นอะไรดี ดูโชว์อะไรดี วู๊ยยยย... หมดกัน เสียดายจริงๆ ตั้ง 6,200¥ แน่ะ!!! แถมป้ายตารางต่างๆมันเขียนแต่ญี่ปุ่น โอ๊ยจะบ้า จนท.ก็พูดอังกฤษไม่ได้ ถามไรกันไม่รู้เรื่องเลย ให้ตายเหอะ

การไป
นั่งรถไฟ JR สายไรก็ได้ไปให้ถึงสถานี Maihama ออกมาแล้วจะต้องไปซื้อตั๋วนั่ง Monorail ของ Disney resort อีกเที่ยวละ 250¥ งกจริงๆ ไปลงตามที่จะไปว่า Disney Land หรือ Disney Sea หรือจะลงส่วน Disney Resort ก่อน ถ้านอนนี่ก็เข้าเล่นมันสัก 2 วันซื้อตั๋วแบบ 2 Days pass ไป คงได้เล่นเยอะอยู่ ไม่งั้นต้องมาแต่เช้ามากๆ และวางแปลนดีๆ (เหมือนตอนเราไป Hongkong Disney Land นะ นั่นหาข้อมูล วางแผนไปเลยว่าจะเล่นอะไรก่อน ดูโชว์ตอนไหน ระหว่างนั้นเล่น อะไร เลยเล่นได้ครบเหอะ) แต่ยังไงก็น่าจะเล่นครบยากเพราะที่โตเกียวนี่คนเยอะมาก คิวยาวทุกอัน ต้องอาศัยพ่อบุญทุ่มซื้อ Fast pass เยอะๆ 555

 Tokyo Sky Tree (東京スカイツリー): http://www.tokyo-skytree.jp/en/


มันคือหอคอยบรรหารแจ่มใสที่สูงกว่าประมาณร้อยเท่า 555 เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปต้นปี 2012 นี่เอง มีความสูงถึงยอดเสาเลย 634 ม. (ทิ้ง Tokyo Tower ไม่เห็นฝุ่น) ตอนนี้คนเลยเห่อกันมาก แห่กันไปขึ้น จนการซื้อตั๋วมันยุ่งยากมากมาย มันมีช่วงไม่ขายต่อวันต้องจองออนไลน์ไปด้วยก็มี ช่วงที่ขายตั๋วปกติก็ต้องไปต่อแถวเพื่อรับคิวมาสำหรับซื้อตั๋ว แล้วเชิญคุณไปเที่ยวที่อื่นก่อน ค่อยมาซื้อตั๋วตามเวลา โฮ่! แล้วค่อยมาต่อคิวขึ้นอีก แถมราคาก็ไม่ถูกนะพี่น้อง ร่วม 2000 ¥ (ในระดับ 350 ม. แต่ระดับ 450 ม. นั่นแค่ 1,000¥) และในโอกาสอันฟ้าอึมครึมฝนลงปรอยๆตอนเช้า แม้คิวจะไม่ยาวมากมายแต่ด้วยสภาพอากาศและเวลาที่มีไม่มาก เราจึงตัดสินใจว่าขอชมรอบนอกก็แล้วกันนะเธอ ไว้คนหายเห่อเค้าค่อยขึ้นละกัน

สิ่งที่ต้องทำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปนอกจากชมวิวแล้วก็ต้องลงมาช็อปของที่ระลึกน่ารักๆ (น่ารักจริงๆอ่ะ) แล้วตามด้วยโตเกียวบานาน่า (อีกแล้ว)
!! แต่ตอนนี้มันมีตัวออกใหม่เป็นไส้ Chocolate นะมีขายที่ร้านสาขานี้ ที่ Tokyo Tower ไม่มีอ่ะ สนามบินก็ไม่มี ก็ซื้อมาตามที่เค้าว่ากันว่าต้องซื้อ 555 เพิ่งลองชิม มันก็อร่อยดีนะ แต่ไม่ได้ปลื้มขนาดหนัก

การไป
: 

นั่งรถ JR สาย Ginza ลงสถานี Asakusa แล้วต่อ Tobu line ไป 1 สถานี ลง Tokyo Sky Tree station เลย ถึงเลยค่ะ


 Asakusa – Sensoji Temple (金龍山浅草寺): http://www.japan-guide.com/e/e3001.html


จากโตเกียวสกายทรี นั่งรถไฟย้อนกลับมาลงสถานีอาซากูสะค่ะ เราไม่ได้หาข้อมูลมา เลยใช้วิธีเดินตามกรุ๊ปทัวร์ ฮ่าๆๆ ได้ผลดีมาก ยังไงทุกทัวร์ที่ลงตรงนี้ก็ต้องไปวัดนี้แหละ เดินตามกรุ๊ปทัวร์จนมาเจอโคมแดงแบบอันนี้ที่เป็นสัญญลักษณ์คือจุดเริ่มต้นเรียกว่า ประตูคามินาริมง (Kaminarimon) เดินผ่านประตูนี้เข้าไป จะเป็นถนนนาคามิเซะ(Nakamise) มีร้านขายขนมขายของที่ระลึกเรียงยาวไปเลย ขนมจะเป็นพวกขนมท้องถิ่น ซึ่งญี่ปุ่นมันมีแต่ขนมทำจากแป้งไส้ถั่วแดงซะมาก แล้วก็เซมเบ้แข็งๆกินแล้วเจ็บเหงือก

เดินต่อไปจนเจอศาลเจ้าเซนโซจิ เป็นอาคารใหญ่ซึ่งมีกระถางธูปยักษ์อยุ่ก่อนถึง ซึ่งผู้คนจะไปจุดธูปเอาไปปักแล้วโบกควันเข้าหาตัว เพื่อเป็นสิริมงคล เห็นแล้วก็ไปจุดไปโบกกับเค้าบ้างเหมือนกัน แล้วก็ขึ้นไปชมพร้อมสักการะเจ้าแม่กวนอิมบนศาลเจ้า ออกมาตรงบันไดศาลให้หันหน้าไปทางซ้าย มองไปจะเห็น โตเกียวสกายทรีด้วยนะ 

ยังมีส่วนอื่นให้เดินเข้าไปชมหรือไปสักการะได้อีก แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากจะมาแค่นี้แล้วก็กลับ ด้านหน้าประตูคามินาริมงจะมีรถลากจอดรอนักท่องเที่ยวให้เช่าเหมานั่งชมเมืองแบบสไตล์ดั้งเดิมได้ด้วย ใครสนใจเชิญไปต่อรอง 



อาหารญี่ปุ่นอร่อยมาก อร่อยมากกว่าร้านในเมืองไทยเยอะเลย

ปลาดิบสดอร่อยสุดยอด

ราเม็งตู้หยอดเหรียญ ถูกดี แต่ต้องพอเดาได้หรืออ่านออกสักหน่อย

โตเกียวบานาน่า ของฝากที่ใครๆก็ซื้อ สนามบินก็มีขาย
แต่ชนิดใหม่ไส้คาราเมล(ฉลองครบรอบ 20 ปี)มีขายที่โตเกียวสกายทรีเท่านั้น


No comments:

Post a Comment