Dec 27, 2014

ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี - ลุยเกาะใต้ [ภาคปฐมบท]

Trip : May 2014
The South Island - New Zealand

น้องเจี๊ยบคนสวยเกริ่นชวนไปลุยนิวซีแลนด์กัน รับปากไว้แล้วแต่ก็เลื่อนๆๆไปเรื่อย จนสุดท้ายฟันธงที่ต้นเดือนพฤษาคม มีนาเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงชีวิตเลยวุ่นวายเล็กน้อย ไม่ได้หาข้อมูลอะไรเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็เข้าเมษาแล้ว ตาเหลือก เพราะยังไม่ได้ขอวีซ่า แล้วจากนี้มันเป็นวันหยุดๆๆๆๆ แถมหลังสงกรานต์จะไปเกาหลีก่อนอีกด้วย ดังนั้นรีบหาข้อมูลเตรียมเอกสารต้องยื่นเรื่องก่อนวันหยุดจักรีให้ได้!! เช็คตั๋วเครื่องบินเพราะต้องนัดแนะเวลาบินให้ไปเจอกับผู้ร่วมชะตามกรรมอีกคนจากสิงคโปร์ด้วย จัดโปรแกรมคร่าวๆ เช่ารถ หาที่พักคร่าวๆ รายละเอียดพวกนี้จะสรุปให้ตอนท้ายละกัน เอาเป็นว่าเราเองได้วีซ่าก่อนไปอาทิตย์เดียว!!


แผนการเดินทางวางไว้คร่าวๆตามนี้ การวางแผนคือกำหนดจุดที่อยากไปเที่ยว แล้วก็ดูระยะทางที่สามารถขับไปได้ต่อวัน เผื่อเวลาแวะถ่ายรูปรายทางด้วย ต้องตัดรายการเที่ยวออกบางส่วน เพื่อขยับขึ้นเหลือวันท้าย 1 วันข้ามไปเกาะเหนือ เพราะต้องไปเยี่ยมญาติ





เริ่มออกเดินทางกันเต๊อะ...


3 ทหารเสือจากเมืองไทยออกเดินทางจากสุวรรณภูมิหลังสาวเมืองลอดช่องนาม PB ไม่นานนัก ขาไปน้องเจี๊ยบคนสวยแบกกระเป๋าหนักร่วม 29 โลไป (เรื่องนี้สำคัญ มันมีผลถึงขากลับอย่างรุนแรง 555) ของเรากับคุณแฟนคนละ 20 โลนิดๆ นี่รวมเสบียงอาหารบางส่วนแล้วด้วย ที่หนักๆคือกล้องและอุปกรณ์ต้องแบกเอง หนักไหล่ทรุดเหมือนกัน

เครื่อง Emirates Airline ดีใช้ได้ นั่งสบาย มีจอส่วนตัวมี USB ชาร์จแบตมือถือได้ด้วย อาหารก็กินได้ ขาไปเครื่องว่าง นอนกันไปสบายเลย ซัดไวน์ซัดเบียร์กันเสร็จก็หลับปุ๋ย ไปตื่นเอาตอนอาหารเช้าก่อนลงเปลี่ยนเครื่องที่ซิดนีย์ เวลาต่อเครื่องกระชั้นชิดพอสมควร แต่ถามแล้วกระเป๋ามันเช็คถึงเลยไม่ต้องรับมาโหลดใหม่ แค่เอาตัวไปถึงหน้าเกทก็พอ ลงมาแล้วมันต้องผ่านการตรวจเอกซ์เรย์ ดังนั้นไม่จำเป็นอย่าหิ้วของเหลวลงมาจากเครื่อง เสียเวลาตรวจค้น ขนาดของเรามีพวกกาแฟสำเร็จรูปมันยังเรียกเปิดมาดูเลย ออสเตรเลียนี่เข้มงวดมากจริงๆนะ ผ่านแล้วเห็นเคาเตอร์ทรานซิท ก็รีบไปต่อแถว แม้ว่าตอนเช็คอินที่สุวรรณภูมิจะได้บอร์ดดิ้งพาสมาคนละ 2 ใบแล้วก็เหอะ แต่แถวมันช้าจัง เลยตัดสินใจเดินไปถามป้าที่เคาเตอร์ด้านข้างแทน ป้าดูบอร์ดดิ้งพาสแล้วก็ยิ้มเยือกเย็นสั่งว่า hurry up go to gate!! อ้าว ป้า ตกใจนะเนี่ย จริงๆมันก็ใกล้เวลาบอร์ดดิ้งแล้วจริงๆ ดีที่ว่าเพิ่งมาซิดนีย์เมื่อปีที่แล้ว เลยช่ำชองพอควร เดินไปไม่ไกลก็ถึงเกทล่ะ คนยังนั่งกันเต็ม คือเกทยังไม่เปิดเหอะ มันดีเลย์ เดินวนหา PB ก็ไม่เจอ ตามแผนน่าจะเจอกันที่นี่ เช็คข้อมูลอีกที เออ...มันคนละ flight ว่ะ นางคงไปแล้ว เดี๋ยวไปเจอกันที่ Christchurch เลย



เครื่องลงที่ Christchurch ช้ากว่ากำหนดไปนิดหน่อย ได้ยินเสียงคนไทยเยอะอยู่ อุ่นใจเหมือนไม่ไกลบ้าน 555 เช้าเช็คตม.พร้อมกัน 3 คนเลย บอกเจ้คนตรวจว่ามาด้วยกัน เจ้ก็เช็คๆตามระเบียบ แต่มาถามเราว่าเพิ่งกลับจากเกาหลีเหรอ เจ้แกหน้าตาเกาหลีด้วย แต่ถามแบบจะเอาคำตอบให้ได้ว่าไปทำไมยังไง แถมตบท้ายประมาณว่า อะไร?!! กลับจากเกาหลีแล้วมานิวซีแลนด์ต่ออีกเรอะเธอ ไม่ทำงานทำการหรือไงยะ เราเลยตอบไปว่า ไม่ทำ ผัวรวย!! (เอิ่มมมม ดราม่าไป จริงๆแล้วก็ตอบปกติแหละ 555) ออกมารับกระเป๋าแล้ว ตอนจะออกก็เจอด่านตรวจกระเป๋าอีก เปิดๆไปเลยหยิบให้ดูไปเลยว่าอะไรบ้าง ผงเครื่องปรุง กาแฟสำเร็จรูป มาม่า จนท.ดูๆดมๆ ผ่าน! น้องเจี๊ยบจะเปิดกระเป๋าบ้าง จนท.ถามว่ามีอาหารรึนางบอกไม่มีแต่มีบู๊ท (ในแบบฟอร์มมีรายการของที่ต้องสำแดงต่างๆ มีพวกอาหาร ของเหลว และรองเท้าบู๊ท!!) จนท.ถามว่าบู๊ทนี้ใส่ไปไหนมาบ้าง คือ เราอึ้งอ่ะ ตอบไงวะ เจี๊ยบส่ายหน้าบอกเพิ่งซื้อมาทริปนี้ นางเลยบอกโอเคผ่าน! คิดว่าบู๊ทในที่นี้คงหมายถึงบู๊ททำฟาร์มมั้งเค้ากลัวพวกดินอะไรติดพื้นรองเท้ามา โว๊ะ.... ใครจะแบกบู๊ททำฟาร์มบินข้ามประเทศกันวะ หรือมี?

รับกระเป๋าออกมาแล้วเจอ PB มาชะเง้อรอรับ ขาดแต่ป้ายไฟก็เป็นศิลปินได้ล่ะ ดีใจที่เจอกันเสียที จากนี้ต้องเสียเวลาไปซื้อซิมโทรศัพท์อีก เพราะคนเยอะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็ซื้อซิมใส่ เลือกแพคเกจตามสะดวกทั้ง Voice และ Data จบเรื่องโทรศัพท์ก็ต้องพาเจี๊ยบไปทำเรื่องเคลมกระเป๋ากับสายการบินอีก เพราะกระเป๋าออกสายพานมาร่วงตุ้บ ล้อพังไปอันนึง กระเป๋าใหม่เอี่ยมทริปแรก พิการทันทีตั้งแต่เปิดทริป ทำเรื่องกระเป๋าเสร็จ PB ก็โทรไปบริษัทฯเช่ารถให้มารับเพื่อออกไปสำนักงานด้านนอกทำเรื่องและรับรถ หากคุณเช่าบ.ใหญ่ๆอย่าง Budget, Hertz พวกนี้มันมีเคาเตอร์ในสนามบินเลย แต่เราเช่าของ Apex Rental เป็นโลวคอส ก็ต้องโทรเรียกเค้าเอารถมารับ ออกไปนอกสนามบิน ใกล้ๆนี่แหละ ทำเรื่องเช่ารถ รับรถออก อย่าลืมเช่า GPS ไว้ด้วย สะดวกมากบอกเลย ไม่ต้องมาคอยกางแผนที่


ทำโน่นนี่นั่นเยอะแยะอย่างที่บอกกว่าจะรับรถเสร็จก็จะสี่โมงเย็นแล้ว เลยพลาดที่เที่ยวที่เจี๊ยบนำเสนอมาคือ Antartica ระหว่างรอเรื่องเคลมกระเป๋าเราลองเดินไปถาม i-site ที่สนามบินมา ป้าแกบอกว่ามันอยู่ใกล้ๆสนามบินนี่เอง แต่มันจะปิดตอน 5 โมงเย็น ป้าที่ i-site เลยบอกว่าให้มาเที่ยววันอื่นดีกว่ากลัวไม่คุ้มเงิน พวกเราเลยตั้ง GPS ไปที่พักกันเลยดีกว่า คืนแรกนี้จองที่พักไว้ที่ Hagley Park Motel ขับไปจากสนามบินไม่ไกลนักแค่ 15-20 นาทีก็ถึง อากาศหนาวๆเย็นๆเพราะฝนลงพรำๆ ขับรถง่ายเพราะวิ่งแบบไทย แต่เค้าเคารพกฏจราจรเคร่งครัดนะ ระวังความเร็วและช่องทางเลี้ยวต่างๆ เช็คอินกับเจ้าของหน้าง่วงๆ เราต้องปรับหูกับสำเนียงนิวซีแลนด์พอควร กว่าจะฟังฮีเข้าใจว่าจะรับนมโลวแฟตหรือธรรมดา ฮีแจกนม 1 ขวดเล็กเป็น Complimentary ก่อนเข้าห้องถามหาร้านอาหาร ฮีแนะนำร้านใกล้ๆเดินไปได้ชื่อร้าน Duxdine เสนอตัวจะโทรไปจองให้ เราก็กลัวจะโดนแบบร้านเมียผมเอง เลยบอกไม่เป็นไรเดี๋ยวเดินไปดูก่อนนะจ๊ะ


เก็บของแล้วเดินออกไปร้าน Duxdine ดู ร้านน่านั่งจริงตามคำแนะนำ เลยเอาร้านนี้แหละ อาหารมีตามเมนูแนะนำ เหมือนเป็น Local dish สั่งมา 3-4 อย่างแชร์กัน อร่อยดี คนเข้ามาทีหลังเกือบเต็มร้าน ชนแก้วเริ่มทริปอย่างเป็นทางการกันเลย คุยแผนกันอีกที พรุ่งนี้ออกแต่เช้าขับยาวๆไป Franz Josef Glacier กันเลย แวะเที่ยวดูอะไรๆตามรายทางเรื่อยๆ คืนนี้เลยต้องไปซุปเปอร์มาเก็ตสักหน่อย ซื้อเสบียงเพิ่มเติมโยนไว้ในรถไม่อดตาย



เริ่มปาร์ตี้อย่างเป็นทางการตั้งแต่คืนนี้ล่ะ... จากนั้นก็.... ปาร์ตี้ไปทุกคืน เอิ๊กกกก





เช้านี้ตื่นออกมาเดินเล่นยามเช้ารอบๆที่พัก ผู้คนเริ่มออกไปทำงาน คนปั่นจักรยานกันเยอะพอควร รถวิ่งมากขึ้นแต่ก็ไม่มากจนติด เจอนักเรียนหน้าตาเอเชียเยอะมาก แบบว่าเดินมา 10 คนหน้าเอเชียซะ 7 ไรงี้ กลับไปกินอาหารง่ายๆรองท้อง วันนี้เป็นไข่ดาวไส้กรอกกาแฟ ที่พักส่วนมากจะมีครัวให้ทำอาหารได้ สะดวกการกินยามเช้าและเย็น แถมประหยัดด้วย

เก้าโมงกว่าๆออกจาก Christchurch ตั้งพิกัด GPS ไปที่ Arthur Pass GPS แล้ว) ก็ถ่ายรูปตามรายทางไป บอกท่านคนขับไว้แล้วว่าอยากจอดตรงไหนก็จอดเลยนะ นิวซีแลนด์เป็นวิวพานาราม่าจริง นั่งในรถกระจกกว้างๆเห็นแล้วอยากถ่ายรูปไปหมด พอจอดรถลงมาหยิบกล้องมาส่อง มันไม่งามเหมือนมองด้วยตาเลย สุดท้ายหลายๆที่หยิบไอโฟนใช้แอพพานาราม่ามากดไว้ แหร่มมาก (เริ่มคิดว่าจะแบกกล้องกับอุปกรณ์ 7-8 กิโล ไปทำไม 555 ดีว่าขับรถเที่ยวไม่ต้องแบก)

ขับออกมาไม่นานก็เริ่มตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์รอบด้าน เสี่ยงอู้อ้ามาเป็นระยะๆ เราเป็นเนฯ (ที่ไม่ต้องทำไรมากเพราะมี GPS) เพราะตั้งเป้าหมายแรกคือเมือง Sheffield หลายรีวิวบอกว่าให้ออกจาก Christchurch มาแต่เช้าๆไม่ต้องห่วงอาหาร ให้มาแวะ Sheffield Pie Shop ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว กด GPS ใหม่เอาร้านนี้ก่อน 



จริงๆร้านก็หาไม่ยากเลยอยู่ริมถนนที่มีผ่านเมืองอยู่เส้นเดียวนี่แหละ ร้านอยู่ด้านซ้าย ขวามือเป็นทางรถไฟ มีป้ายชื่อเมือง Sheffield ใหญ่เบ้อเร่อ เห็นชัดมาก พวกเราลงไปเลือกพายกันคนละชิ้น ชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่ อบใหม่ร้อนๆพร้อมกาแฟร้อนขมๆ อร่อยใช้ได้ ของเราเป็นพายเนื้อที่กัดเข้าไปแล้วเนื้อเป็นชิ้นๆเต็มปากเต็มคำดีมาก อารมณ์เหมือนพายไส้เนื้อตุ๋น คนเข้ามาร้านนี้เยอะ มาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยหรือมีร้านเดียวทั้งเมืองและเป็นทางผ่านไปทำงาน 555 


แค่มาแวะฉี่...
ร้านไม่มีห้องน้ำให้เข้า เจี๊ยบเรียกร้องเลยออกเดินทางไปหา i-site เพราะคงจะมีห้องน้ำให้เข้าสะดวกสะอาด แต่ขับไปนิดเดียวก็พ้นเมือง Sheffield เป้าหมายต่อไปดูจากแผนที่แล้วเป็นเมือง Springfield นึกถึงซิมป์สันเลยซินะ ไปอีกไม่ไกลถึงเมืองมองหาป้าย i-site มันชี้ให้เลี้ยวเข้าด้านใน ยังบ่นกันว่า i-site ไรวะ ทำไมไม่อยู่ริมถนน ขับซิกแซกเข้าไปด้านใน i-site เมืองนี้อยู่ที่สถานีรถไฟ แถมปิดเงียบ แต่ดีที่ห้องน้ำเปิดแถมสะอาดดีด้วย น้ำและทิชชู่พร้อม (หลังจากผ่านไปทุกที่ i-site สะดวกมาก ห้องน้ำดีพร้อม เชิญแวะ) วิวก็สวยใครเข้าห้องน้ำก็เข้าไป ใครถ่ายรูปก็ถ่ายไป PB ดูจะเริงร่ากับการถ่ายภาพมากที่สุด

ออกเดินทางต่อ จากนี้ไปเริ่มเป็นทางเขาแต่ไม่ชันและคดเคี้ยวมากมายนัก โค้งๆพอสวยงาม แวะถ่ายรูปเป็นระยะๆ ช่วง Korowai  Torresse Tussocklands Park โค้งสวยดี จอดๆๆ ผ่านมาเจอทะเลสาปสีฟ้าเข้มสวยมาก จอดๆๆๆ ถ่ายไปแล้วยังไม่รู้ชื่ออะไรเลยมาหาเอาที่หลัง เริ่มรู้ชะตากรรมว่าจอดอย่างนี้คงวิบากแน่กว่าจะถึง Franz Josef ท่านคนขับเลยใช้วิจารณญานตอนจอดว่าสวยขนาดนี้ 10 นาที ขนาดนี้ 5 นาที แต่เหมือนลูกทัวร์จะไม่ค่อยใส่ใจนัก ฮ่าๆๆๆ  “ten minutes stop!!”


เลยทะเลสาปมาไม่ไกล เจอจุดหมายแรกที่จริงๆลืมไปแล้ว “Castle Hill” เป็นภูเขาโล้นๆที่มีก้อนหินวางระเกะระกะ อยู่เต็มไปหมด จอดรถแล้วเดินเข้าไปด้านในได้ แต่พวกเราเดินเข้าไปไม่ไกล เพราะเล็งแล้วว่าถ่ายภาพจากมุมไกลจะสวยกว่า PB เดินเข้าไปถึงดงก้อนหินขึ้นเนินไปเล็กน้อยดูจากรูปที่ถ่ายก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ อย่างที่บอกว่า มันต้องพาโนราม่า ว่าแล้วก็งัดไอโฟนออกมา 



บึ่งต่อตามทาง State Highway 73 ต่ออีกชม.กว่าก็มาถึง Hokitika จนได้ แรกเริ่มเดิมที ที่นี่จะเป็นจุดทานมื้อเที่ยง แต่เราถึงบ่ายสามกว่าแล้ว มื้อเที่ยงของเราจึงหายากเย็น เพราะร้านขายกลางวันก็ปิดช่วงบ่าย 2 เดินจนได้ร้านที่บอกว่าขายแต่อาหารว่าง แต่อาหารว่างของป้าก็พวก Fish&Chips มันชามใหญ่ยักษ์ กินอิ่มอืดเลย รอดตายไป เดินเล่นในเมืองสักพักพอย่อย Hokitika นี่เป็นเมืองชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับหยก มีโรงงานหยก มีร้านขายเครื่องประดับหยกหลายที่ ใครชอบก็แวะดูได้ เราไม่มีความรู้เรื่องหยกเลยไม่รู้ว่ามันถูกหรือแพงยังไง เดินตามถนนสายหลักของเมืองผ่านหอนาฬิกาไปจนสุดจะมีชายหาดให้เดินชมได้ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำแล้ว แสงสวยดีจริง แต่คิดถึงระยะทางที่ต้องไปอีก จะมัวมายืนโรแมนติคก็ไม่ไหว จึงกวาดต้อนกันขึ้นรถไปต่อ



ต่อจากนี้กึ่งหลับกึ่งตื่นไปตลอดทาง สงสารคนขับแต่ก็หลับอยู่ดี 555 ลัดเลาะเขาไปจนโผล่ทะเลอีกรอบ หยุดลงมาโยนความง่วงทิ้ง สูดอากาศเย็นๆมองฟ้างามๆ วันนี้เป็นวันที่ขับรถยาวสุดของทริปจริงๆ เพราะตัดการเที่ยว Greymouth ออก ตอนแรกจะนอนแค่ Greymouth มันแค่ครึ่งทางของวันนี้ พอตัดออกเลยตียาวไป Franz Josef เลย จากนี้ไปอีกไม่ไกลก็ถึงล่ะ ถึงเมืองเอามืดๆ Franz Josef เป็นเมืองเล็กๆ แต่คึกคักพอสมควร เราพักที่ Bella Vista Motel จองมาแล้วก็ดีอย่างไม่ต้องลงไปถามราคาไปดูห้องอะไร ไปถึงก็ chk in รับนม 1 ขวด...ฮา... แล้วรีบออกไปซุปเปอร์หาซื้อเสบียงเพิ่ม ซุปเปอร์จะปิดตอนสองทุ่มครึ่ง NJ & PB พุ่งไปมุม Liquor ทันทีตามคาดต้องตุนไวน์สัก 2-3 ขวด คุณแฟนท่านไม่ถนัดไวน์เลยสอยเบียร์แพคมาก ยี่ห้อได้ใจมาก MAO คืนนี้เลยนั่งปาร์ตี้จิบไวน์จิบเบียร์หน้าห้องพักจนชักหนาว เลยย้ายเข้าด้านใน เมาได้ที่ก็แยกย้ายกันไปนอน นัดกันว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นเช้าไปเดินดู Franz Josef Glacier ก่อน สายๆค่อยมาขึ้น Helicopter สองสาวบอกจะไปด้วย โอเค...เจอกันตอนเช้า





แม้เมื่อคืนจะฉลองเปิดทริปกันหนักไปนิด แต่ก็หลับสนิท เลยตื่นเช้าได้ตามหวัง (เวลาเที่ยวนี่ถึงไหนถึงกัน นอนดึกตื่นเช้าสบายมาก ต่างกะทำงานลิบ กร๊ากกก) ตื่นมาชงกาแฟกินนิดหน่อย เพราะ Bella Vista เป็นสไตล์โมเต็ลที่มีแต่กาต้มน้ำไม่มีครัว จิบๆพอให้ตาสว่าง ห้องข้างๆก็ตื่นแล้ว ออกมาที่รถฟ้ายังมืดๆอยู่เลยคงราวๆสักหกโมงกว่า ขับรถจากรร.ไปไม่ไกล เพราะอย่างที่บอกเมืองเล็กนิดเดียว ถามพนักงานรร.ไว้ก่อนเมื่อคืน ฮีเอาแผนที่มากางๆจิ้มๆให้ ขับออกมาดูป้ายข้างทางก็ได้ ขับมาจนข้ามสะพานที่จะออกเมือง ข้ามแล้วเป็น 3 แยก เข้าไปดูกลาเซียร์ก็เลี้ยวซ้าย ถ้าไปต่อ Fox Glacier ก็เลี้ยวขวา


เลี้ยวซ้ายไปเป็นถนนเลียบลำธารไปเรื่อยๆ ขวาเป็นเขา มีขึ้นเขาบ้างเป็นระยะ อารมณ์เหมือนเข้าเขตอุทยานแห่งชาติ จากทางแยกขับไป 4 กิโล ก็จะถึงจุดจอดรถ มีรถมาก่อนเรา 4-5 คัน บางคันกำลังต้มของกินท้ายรถ ได้กลิ่นชวนหิวจริงๆ ไม่มีด่านเก็บเงินแต่อย่างใด จอดแล้วก็ลงมาเลือกเส้นทางเดินได้ เราเลือกเส้นทางเดินเซ็นทินัลร็อค (Sentinal Rock Walk) ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเข้าไปดูปลายๆธารน้ำแข็ง หลายๆรีวิวบอกเดินสบายๆไม่ไกล ไปกลับสักชม. เอาอันนี้ล่ะวะ เดินชมป่าเย็นๆชื้นๆเข้าไปเริ่มมองเห็นธารน้ำแข็งจากยอดเขาเป็นระยะ อารมณ์เหมือนเดินป่าปิดดอยอินทนนท์ ถ้าจะเดินขึ้นบนธารน้ำแข็งเลย ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ให้มีคนพาเดิน จุดเดินจะเป็นอีกจุดหนึ่งและเดินนานเป็น 1-2 ชม.

ธารน้ำแข็ง Franz Josef นี่นักท่องเที่ยวมากันเยอะ มันไม่ใหญ่สุดนะ แต่คนนิยมมาเพราะสะดวกใกล้ไปง่าย จากจุดจอดรถเราเดินเข้ามาจนพ้นแนวป่า มองเห็นลานกว้างๆ เห็นธารน้ำแข็งอยู่ไกลๆ ยืนอ่านป้ายแล้วขนลุก เมื่อก่อนพวกเราต้องยืนตรงนี้ เพื่อดูธารน้ำแข็ง เพราะมันไหลยาวยืดมาจนใกล้ ถ้าลงไปเดินจะลื่นอันตราย จะเดินต้องติดต่อขอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และมีไกด์พิเศษพาเดิน แต่เพราะภาวะโลกร้อน ธารน้ำแข็งมันละลายไปมาก จนมันเหลืออยู่ลิบๆโน่นล่ะ อยากดูใกล้ๆเดินไปได้ฮะ เดินผ่านลานหินนั่นไปได้เลย โอ้วววววว

พวกเราเดินเล่นกันไปจนพอใจ ตามก้อนหินมีต้นไม้ดอกไม้ให้เก็บภาพมาโครบ้างนะ แต่ลมค่อนข้างแรงเป็นพื้นที่โล่ง PB เดินไปจนเกือบถึงตีนเขาโน่น เราเลือกจะเก็บเล็กๆน้อยๆข้างทางแทน ได้เวลาก็เรียกกันกลับ เพราะเรามีนัดจะเหินฟ้ากันตอน 10 โมงเช้า จะชมธารน้ำแข็งกันจะๆเลย

กลับถึงที่พัก เปลี่ยนชุดเล็กน้อย Chk out เลยเอาของขึ้นรถหมดแต่จอดรถทิ้งไว้ก่อน รีบเดินไปจุดนัดพบแถวๆปากซอย PB รับหน้าที่จอง Glacier Flight นางจองออนไลน์มา หลังจากเปรียบเทียบราคาหลายเจ้าแล้ว นางบอกเจ้านี้คุ้มสุด พอมาถึงบู๊ท Mountain Helicopper นี่มันเล็กๆต่างกับบริษัทอื่นๆนะ เลยเสียวนิดๆ แต่เอาวะ เราว่าฝรั่งมันคงมาตรฐานดีอยู่นะ 555 รอเครื่องมาสักครู่ สุดหล่อที่บู๊ทมาอธิบายรายละเอียดและข้อควรระวังคร่าวๆ เรา 4 คนเปิดซิงเฮลิคอปเตอร์กันที่นี่ล่ะ ฮีบอกไม่ต้องห่วง วันนี้อากาศดี เราก็ว่าเออ อากาศดีฟ้าเปิดใสเชียว ข้าวของเครื่องใช้ไม่ควรพกไปนะ ถ้าเก็บในรถได้ก็เก็บ แต่เราขี้เกียจเดินกลับไปโรงแรม เลยฝากฮีไว้ที่ตู้ เอาไปแต่กล้องกะเป๋าเงินพาสปอร์ต คือห้ามเป้ห้ามกระเป๋าค่ะ ลำนึงนั่งได้ 4 คน เจี๊ยบ&PB นั่งหน้าข้างคนขับ เรา 2 คนนั่งหลัง ขึ้นไปมันวูบวาบดีเหมือนกัน 



อากาศดีฟ้าเปิด คนขับบรรยายโน่นนี่นั่น แต่ฟังไม่รู้เรื่องเลยบอกตรงๆ เสียงเหมือนที่เราเคยดูในหนังอ่ะ มันครืดๆคราดๆ ฟังออกตอนก่อนบินว่าวันนี้เราโชคดี ฟ้าปิดมาหลายวัน เพิ่งเปิดวันนี้ ว้าวววว ดีใจมากๆ เราบินวนไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มองเห็นธารน้ำแข็ง เห็นภูเขาหิมะ เห็นแม่น้ำ ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรบ้าง สวยงามตามที่คาด ตอนช่วงบินเข้าในหุบเขาเพื่อดูใกล้ๆ มันวูบวาบท้องไส้ปั่นป่วนเหลือหลาย สุดท้ายมาแลนดิ้งลงบนเนินๆนึง ให้ลงไปสัมผัสหิมะ และทิวทัศน์กว้างไกลของภูเขาหิมะ ลมแรงได้อารมณ์ Cliff Hanger มากๆ



รอดตายลงมาได้ พร้อมความประทับใจ รอท้องไส้หายปั่นป่วน จึงหาอะไรรองท้อง ก็ร้านแถวๆนั้นแหละ อิ่มแล้วรีบกลับโรงแรมไปเอารถ จุดต่อไปของเราคือ Fox Glacier จะแวะ Matheson Lake แล้วแวะชม Fox Glacier จากจุดชมวิว แล้วตียาวไปนอน Lake Hawea จองโรงแรมวิวงามไว้ ระยะทางไกลพอควรอีกแล้ววันนี้ กว่าจะได้ออกเดินทางก็เกือบเที่ยง

ขับผ่านป่าเขาลำเนาไพรไป ฟ้าเริ่มปิดแฮะ ฝนลงเบาๆ พอไปถึง Fox Glacier เลี้ยวแยกเข้าไป Matheson Lake แดดหายไปแล้ว เดินเข้าไปชมด้านใน ตรงจุดชมวิวสุดฮิต เศร้าเล็กๆ แดดไม่มี ทะเลสาปไม่สะท้อน เมฆก็ปิดยอดเขา ไม่ควรค่าแก่การเดินวงรอบแน่แท้ เอาแค่จุดชมวิว แล้วก็เดินกลับ ออกมาที่ Matheson Café ก็เลยไม่แวะกินอะไร เพราะวิวไม่มีให้ดื่มด่ำล่ะ ขับกลับไปกินในเมือง เมืองแสนจะเล็กและเงียบเหงากว่า Franz Josef Glacier มาก รีบกินรีบเติมน้ำมันซื้อเสบียงเพิ่มเติมเล็กน้อยรีบเผ่นล่ะ บ่ายแล้ว ทางยังอีกไกล

เราออกจาก Fox Glacier ก็บ่าย 3 ล่ะ เลยออกมาถ่ายรูป Fox Glacier จากจุดชมวิวไกลๆเป็นที่ระทึก (เพราะมันใกล้มืดล่ะ) ตรงนั้นจำได้ว่าเห็นป้ายตรงทางแยกเขียน Road Closed อะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนั้นอิฮั้นไม่สนใจ มัวแต่สนใจทางเลี้ยวเข้าไปจุดชมวิว ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ต้องจ่ายเงินไปหลายพันบาท T___T

ขับผ่านเส้นนี้มันสวยดีนะ วันนี้พระอาทิตย์ตกสวย แต่ไม่มีเวลาล่ะ ดูระยะทางแล้วอีกยาวไกล เราวางทริปพลาดจริงๆ มันยาวไป ยังไงใครจัดทริปต้องขับรถไม่ควรเกินวัน 150 กิโล กำลังดีอ่ะ เรียกว่าทริปชิลๆ นี่จัดมา 200 กว่ากิโล มันไม่ทัน มันไม่ชิล T__T

สุดท้ายมาถึงเมือง Haast ในตอนโพล้เพล้ ยิ้มเริงร่ากับวิวแม่น้ำ-สะพาน-ทะเล ยังต้องไปอีก กว่าจะถึง Lake Hawea ก็คงอีกสักชั่วโมงนึง เอาวะถึงมืดหน่อย คืนนี้เราจะชิลกะวิวงามๆของ Lake Hawea จิบไวน์เย็นๆ ฝันไปล่วงหน้านะ พอพ้นเขตเมือง Haast เหมือนโดนปลุกให้ตื่นโดยเจ้าหน้าที่การทาง (มั้ง) ชีเป็นสาวรูปร่างบึกๆ ที่ขับรถตามเรามาเพราะทางที่เราไปมันปิด!! พอเราจอดรถที่ไม้กั้นทางด้วยความงุนงน ชีก็มาจอดรถข้างๆพร้อมส่งข้อความจากสวรรค์ว่าทางปิดจ้ะ เพราะมีหินร่วงโน่นนี่นั่น ขับกลางคืนมันอันตราย ทางปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้วอิหนู นี่ 6 โมงแล้วนะยะ ไม่อ่านป้ายตามทางมาบ้างรึ (ประโยคหลังแปลตามหน้าตา) เปิดอีกที 6-7 โมงเช้านะ ไปหาที่หลับที่นอนในเมืองนะ เงิบครับพี่น้อง ระลึกภาพได้รางๆว่าเห็นอยู่ มันมีป้ายตามแยก ที่เป็นป้ายไฟใหญ่ๆ บอกข้อมูลโน่นนี่นั่นเช่นทางนี้จะปิดนะ ให้อ้อมโน่นนี่นั่น หรือทางนี้ปิดตอนกี่โมง คือเค้ามีมาตรการด้านความปลอดภัยสูง คนขับรถต้องหมั่นอ่านข้อมูลตามรายทางด้วย เงิบ....

เมื่อไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไป! วนรถกลับเข้าเมือง ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยวนไปหาที่พักแถบชายหาดก่อน ยังจะเลือกเท่ห์ๆเก๋ๆอีก จอดรถลงไปเดินชายหาด ชมวิว หนาวยะเยือก ไม่เห็นที่พัก เลยไม่เอาล่ะ เอาง่ายๆริมถนนดีกว่า เลี้ยวเข้าไปที่ Heritage Park Lodge ดูห้องดูราคาแล้วโอเค เป็นโมเต็ล 2 ห้องนอนพร้อมครัว กำลังดี ป้าคนดูแลช่วยโทรไปรร.ที่ Lake Hawea ให้ว่าเราไปไม่ได้ ทางปิดบลาๆๆๆ เผื่อจะไม่โดนตัดเงิน ป้าบอกว่าจนท.ทางโน้นรับทราบล่ะแต่นางไม่รู้เรื่องบุ๊คกิ้งอะไร จะตัดเงินหรือไม่ตัดเงิน พรุ่งนี้ให้แวะไปคุยเอง ฮือๆๆๆ




เข้าที่พักก่อนละกัน ดีว่ามีของสด ของแห้งตุนมาพอสมควร หุงข้าว ทำกับข้าวตามประสาแม่ครัวจำเป็น กินกันก็ว่าอร่อยดี ฮ่าๆๆๆ จิบไวน์กระดกเบียร์ เม้าท์มอยกันไป ทางปิดไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน





วันนี้กลับเข้าแผนเดิม 8 โมงกว่าๆออกจากที่พักผ่านทางที่กั้นเมื่อวาน ระหว่างทาง น้องเจี๊ยบ นำเสนอแวะที่ Blue Pool ชีอ่านหนังสือมาว่า น้ำสีฟ้าสวยงามอร่ามแท้ พวกเราก็ตามใจลูกทัวร์เสมอ จอดแล้วเดินเข้าไปชม อารมณ์เหมือนทางเดินเข้าน้ำตกบ้านเรา ไม่ไกลมากนัก แค่เหงื่อซึม เดินมาถึงสะพานแขวนดึ๋งๆอันที่ 2 มันก็มีป้ายว่า Blue Pool ชะโงกมองหากัน ตรงไหนเว๊.... มองลงไปมันก็ฟ้าๆเขียวๆ แต่แดดไม่ลง มันก็อึมครึมเป็นเงาๆ หมุนหามุมสวยอยู่พักใหญ่จนถอดใจ กลับเหอะ น่าจะสวยช่วงบ่ายมั๊ง แสงน่าจะลง ผิดหวังเล็กๆกลับขึ้นรถ บึ่งต่อไป

ถนนช่วงนี้ขับได้เรื่อยๆสบายๆ ไม่สูงไม่ชัน ฟ้าเริ่มเปิด สวยงามตลอดทาง เริ่มชินแกะ เลิกสนใจเลิกกรี๊ดกร๊าด สัก 10 โมงกว่าเราก็เจอ Lake ด้านขวา น่าจะเป็น Lake Wanaka สีฟ้าสวยงามมากมาย หันมากรี๊ดกร๊าดทะเลสาปแทน ขับเลาะ Lake ไปเรื่อยๆ สวยกรี๊ดตลอดทาง มากรี๊ดพีคสุดตรงช่วงช่องเขา ที่พ้นแนว Lake Wanaka ด้านขวา โผล่พ้นเนินช่องแคบ เจอวิวทะเลสาปงามๆด้านหน้า ต้องเบรค ต้องจอด มันงาม มากๆบอกเลย เรามาถึง Lake Hawea แล้ว สุดท้ายก็พบข้อดีของการมาไม่ได้เมื่อคืน เพราะถ้ามาเมื่อคืน เราคงไม่ได้เห็นวิวตลอดทางมาจนถึงตรงนี้ 5555


ขับเลาะ Lake Hawea ไปจนถึง Lake Hawea Hotel ที่เราจองไว้ วิวมันสวยจริงๆ น้ำตาไหล ไหลเพราะมันสวยและไหลเพราะเสียดาย อดนั่งจิบกาแฟยามเช้าชมวิวชิลๆที่ฝันไว้ แถมคุยแล้ว เจ้าหน้าที่โรงแรมบอกว่าเวปไซต์มันตัดเงินอัตโนมัติเค้าช่วยไม่ได้จริงๆ T___T 


เศร้าไปก็เท่านั้น  ชื่นชมบรรยากาศจนพอใจ ก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเราแวะที่ Puzzling World ตั้งใจแวะทานกลางวัน ถ้าอยากเข้าไปดูก็เข้า ไม่อยากเข้าก็แค่แวะกินข้าว ปรากฏว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจให้กิน มีคาเฟ่เล็กๆขายอาหารง่ายๆ เลยแค่แวะถ่ายรูปด้านหน้า แล้วออกเดินทางต่อ ตั้งเป้าไปที่ Arrow Town เลย

ชั่วโมงกว่าๆกับทางสวยๆ มีเขาเล็กน้อย บ่ายโมง เราก็มาถึงทางซิกแซกเพื่อตัดลงไป Arrow Town ล่ะ ซิกแซกเสียวเล็กๆนะ แต่ก็สวยดี ลงมาถึงด้านล่าง ขับไปอีกหน่อยก็เข้าเขต Arrow Town แล้ว เมืองน่ารักมากกกกกก ก.ไก่พันตัว หาที่จอดรถ (ทุกอย่างทำผ่านอินเตอร์เน็ตและ GPS ไม่มีแผนที่อ่ะ) แต่เมืองเล็กๆเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดฮิตแบบนี้ระบบจัดการดีมาก มีที่จอดรถเป็นสัดส่วน จอดแล้วเดินมาส่วนไฮไลต์ของเมืองได้เลยใกล้ๆ หิวกันแล้วเลือกร้านอาหารไทย ก็ search เอาอีกแหละมีคนรีวิวว่าอร่อยใช้ได้ เราก็เอาเลย เจอพอดีร้านอยู่ด้านหลังใกล้ๆลานจอดรถ กินเซ็ตเมนูคนละเซ็ตอร่อยดีทีเดียว อิ่มหมีพีมัน ก็ออกเดินชมเมือง ถนนสายหลักคือ Buckingham St. ขนาบข้างด้วยตึกเก่ายุคสมัยรุ่งเรืองเป็นเหมืองทอง อนุรักษ์ไว้ตลอดถนน ถ้ามาช่วง ปลายๆเมษา ถึงพฤษภา ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นเหลืองทองจะสวยมากๆ เราไปก็เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว สวยจริงจัง


เดินชิลๆ ช็อปเล็กๆ นั่งจิบกาแฟพอหายเหนื่อยหายเมื่อย ก็มุ่งหน้าเข้า Queenstown กันเลย ห่างจาก Arrowtown แค่ 20 กว่ากิโล ขับไปตามป้ายเถอะ เรื่อยๆไป มันก็มาโผล่ที่ Shotover Bridge เห็นป้ายว่า Historic Bridge เลยแวะ ไร้แผนการณ์มากบอกเลย ลงไปเดินชม มีคนมาวิ่งมาปั่นจักรยาน ดูคุณภาพชีวิตดีจัง


จากนั้นตั้ง GPS ไปที่พักกัน คืนนี้นอนอพาตเมนต์ 2 ห้องนอน ไม่ติดริมทะเลสาปแต่อยู่ใกล้ๆ เพราะพวกที่พักริม Lake มันแพงละเกิ้นนนน เราต้องจำกัดงบเล็กน้อย ขับเลาะทะเลสาปมาเรื่อยๆ ก็ถึงที่พัก ห้องพักสะดวกสบายดีมาก เดินเข้าไปกลางเมืองก็ได้ เดินพอเหงื่อซึม และเป็นเนินเขา แต่ไม่ต้องไปหาที่จอดก็สะดวกดี ถ้าจะไปริมทะเลสาปก็เดินลงด้านหลังไปนิดเดียวเอง แต่เป็นเนิน เหอๆๆ 
เข้าห้องพัก เก็บของโน่นนี่นั่น แล้วพวกเราก็ไปขึ้นกระเช้ากัน วันนี้จะดินเนอร์หรูพร้อมชมวิวสักหน่อย มาถึงจุดขึ้นกระเช้าในเวลาที่เหมาะกำลังดี แดดล่มลมตก เข้าไปซื้อตั๋ว พร้อมถามรอบบุฟเฟต์ว่ามีว่างมั้ยเพราะไม่ได้จองมา ก็ได้รอบทุ่มพอดี เวลาเยี่ยมมาก


นั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน ไปแจ้งห้องอาหารก่อนเลย เค้าจะให้เบอร์คิวมาพร้อมบอกเวลา จากนั้นก็ออกไปชมวิวเทือกเขา Remarkable ทอดตัวยาวๆ กับ Lake Wanaka ชิลกันจนพระอาทิตย์ตก หรือใครจะช็อปปิ้งทำลายเงินก็เชิญด้านใน ยิ่งเย็นนักท่องเที่ยวยิ่งเยอะ เสียดายทัวร์ไทยหลายกรุ๊ปมาถึงก็เริ่มมืดแล้ว ไม่ได้ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นอันแสนโรแมนติค คงเพราะวันนึงไปหลายที่

ถึงเวลาเราก็ลงไปเอาโต๊ะ ยังมองเห็น The Remarkable ได้งามๆ แต่ไม่เห็นมีใครมอง ทุกคนจับจ้องแต่ซีฟู๊ดในจาน ฮ่าๆๆๆๆ อาหารพอใช้ได้ ถือว่ามากินบรรยากาศ ไลน์ Cold dish มีซีฟู๊ดเยอะอยู่ เราก็ซัดหอยแมลงภู่กับกุ้งไปเพียบ จากนั้นไปไลน์อาหารร้อน ก็กินแกะ กินพาสต้า กินพวก Seafood Grille อีกเล็กน้อย ราคาอาหารไม่รวมเครื่องดื่ม เป็นปกติของบุฟเฟต์ เราตัดใจสั่งไวน์ขาวมาจิบกับซีฟู๊ดสักหน่อย ชัยวัฒน์ก็จัดเบียร์ นับว่าแฮปปี้ดีวันนี้


ปัญหาต่อไปหลังจากนี้คือพยายามจะจอง Shotover jet กับ Bungee Jump พรุ่งนี้ แต่กว่าเราจะกลับลงมาในเมือง ร้านเอเยนต์ทัวร์ก็ปิดหมดล่ะ เดินจนทั่วเมือง มีแต่ร้านขายเครื่องสำอางค์กับร้านไวน์เปิด เลยกลับที่พักไปจองออนไลน์ก็ได้ กลับห้องมาทำการจอง Shotover Jet พรุ่งนี้รอบสายๆ ส่วน Bungee Jump ไว้ไปซื้อตั๋วที่นั่นเลย เผื่อจะเปลี่ยนใจกัน ฮ่าๆๆๆ





วันนี้เป็นวันกิจกรรม คนมา Queenstown ก็ไม่มีอะไรทำหรอก นอกจากหากิจกรรมทำ มีทั้งนั่งเรือ โดดบันจี้จั๊มพ์ ปีนเขา นอกนั้นก็ไปชิมไวน์ ช๊อปปิ้ง ประมาณนี้ พวกเราเลือกอันฮิตสุดคือ Shotover Jet ทำอาหารเช้าง่ายๆเป็นข้าวต้มจะได้ย่อยง่ายๆ เดี๋ยวต้องไปปั่นป่วนทั้งวัน 555


เราจองตั๋ว Shotover Jet แบบขับรถไปที่จุดลงเรือเอง ใครไม่มีรถก็จองแบบรวมรถ ก็ไปขึ้นตามจุดจอดรถในเมือง แต่มันมีเป็นรอบ เสียเวลา เรามีรถขับไปเองสบายกว่า ขับไม่ไกลไปตาม GPS นั่นแหละ มาถึงจุดลงเรือ ก็แจ้งรอบจอง ระหว่างรอก็ลงไปยืนชมรอบก่อนเรา นั่งเรือสวิงสวายโฉบไปมาน้ำกระจาย ชมอยู่ 2-3 กรุ๊ปก็ถึงตาเรา ต้องไปใส่ชุดกันเปียกเป็นชุดยางครึ่งตัว ที่มัน....เอิ่มมมม เหม็นอับสิ้นดี แต่ต้องใส่เหอะ เพราะน้ำเย็นเจี๊ยบ ลงไปนั่งพยายามจะใส่อู๊ดเพราะมันเย็น แต่พอเริ่ม ฮู๊ดหลุดกระจาย ก็ช่างมันหัวกระเซิงไป รอบแรกนี่เสียวจริงๆเพราะฮีเล่นดริฟเรือเข้าใส่ผาหิน หลับตาเลยเหอะ พอรอบ 2-3 เริ่มชิน ยอมรับว่าฮีเจ๋งจริงๆ ดริฟน้ำกระจาย มันส์มากๆ วนไปวนมาไม่รู้นานเท่าไหร่ ก็กลับมาจอด เดินลงเรือ เป๋เหมือนกัน โลกหมุนเล็กๆ ฮ่าๆๆๆ แต่มันส์ดี ใครมาควรลอง

PB สอยซีดีที่เค้าถ่ายมาขาย มันเจ๋งดีนะ แต่รูปเราไม่เจ๋งเลย โดนมือคนข้างหน้าบัง เซ็งเบยยยยยย

ออกจาก Shotover Jet ตั้ง GPS ต่อไปที่ Kawarau Bungee Jump เสียวที่ ของวัน ภาวนาให้มีนักท่องเที่ยวมาโดด เราจะได้ถ่ายรูป เพราะเราไม่โดดแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆ แต่ สาวมุ่งมั่นมาก!! ขอเป็นกองเชียร์ละกัน กร๊ากกกก มาถึงเห็นทัวร์ลงหลายคัน ทัวร์นี้ทัวร์ฝรั่งนะ เด็กๆวัยรุ่นทั้งนั้น พวกนี้โดดกันเยอะแยะ วันนี้เลยคึกคักดี (อ่านรีวิวมาบางคนบอกมาถึงต้องรอคนใจกล้าโดด)


ตอนนี้มีเครื่องเล่นใหม่เพิ่มมา ช่วงรอคิว Bungee Jump ก็ไปเล่น Zipride ก่อนได้ ซื้อตั๋วเป็นแพคเกจไปเลย Zipride นี่ชิลๆเหมือนเป็นซุปเปอร์แมน เหินไปชิลๆ แต่พวกเด็กฝรั่งมันเลือกแบบล็อคขาห้อยหัวไป ป๊าดดดด น่าเวียนหัวแท้ จากนั้น 2 สาวก็ไปรอคิว ก่อนไปต้องชั่งน้ำหนักก่อน เค้าจะเขียนไว้ที่มือ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จุดโดดดูน้ำหนักจะได้จัดเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะ 2 สาวเลือกโดดคู่ กะกอดกันตาย กร๊ากกกก เราจับจองที่ฝั่งตรงข้าม คอยถ่ายทำทุกขั้นตอน นางหันมาโบกมือให้กล้องตามที่สต๊าฟบอก แล้วสต๊าฟก็ผลักนางเบาๆ นางก็ร่วงลงไปพร้อมเสียงกรี๊ดดดด ถ่ายทำไว้ทุกขั้นตอน แต่บอกเลยคุณควรซื้อ DVD ที่เค้าถ่ายมาขาย มันดีจริงๆ มีภาพหลายมุม มีเพลงประกอบ มีสโลโมชั่น สวยงามมาก PB ซื้อมาอีกตามเคย มันเยี่ยมมากคุ้มค่าจริงๆนะบอกเลย 

ปล.จากการไปยืนดูแล้วมันไม่ได้น่ากลัวมากตามที่คิดก่อนมานะ ถ้าจำเป็นต้องโดดจริงๆแบบไปแข่ง Amazing Race ไรเงี้ยโดดได้แน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ได้จำเป็นต้องโดดก็ไม่โดดนะบอกเลย 5555

รับ Certificate ความบ้า เอ้ยยย ความกล้ากันออกมา ชักภาพยิ้มหน้าซีดๆกับป้ายเป็นที่ระลึก ฮ่าๆๆๆ บ่ายแล้ว ออกจาก Bungee Jump ไปอีกนิดเดียวก็ถึง Gibbston Valley Wine yard แล้ว เข้าไปกินอาหารกลางวันกันที่นี่แหละ หรูหรานิด แต่ก็อร่อยดี พนักงานงุนงนที่เราสั่งอาหารแต่ไม่สั่งไวน์ ก็ใครมาที่นี่ก็ต้องมากินไวน์นะ พวกเราซัดอาหารกันอย่างหิวโหยกับน้ำเปล่า แต่ได้จองทัวร์ไว้ เป็นทัวร์ชิมไวน์พร้อมชมถ้ำ Wine tasting in cave ทำนองนั้น อิ่มแล้วช็อปปิ้งรอเวลา ซื้อช็อคโกแลต Pinor Nior มา เอามากลับมาชิมมันมีรสมีกลิ่น Pinor Nior จริงๆนะแปลกดี

จากนั้นก็เดินไปจุดนัดทัวร์เราเข้ากัน 3 คน ชัยวัฒน์ไม่ดื่มไวน์อยู่แล้วเลยขอนอนรอในรถ
สบายไป นอกจากเรา 3 คนก็มีกรุ๊ปทัวร์จีน 5-6 คนมาจอย เห็นก็ขนลุกล่ะ ทัวร์จีน - -“ ยังดีว่ากลุ่มเล็กนะ มีไกด์จีนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาด้วย เริ่มต้นด้วยการเดินไปดูไร่องุ่นก่อน อธิบายโน่นนี่นั่น ไม่ค่อยได้ฟัง 555 จากนั้นก็พาเข้าถ้ำ มันคือ Wine Cellar ใหญ่ยักษ์ เต็มไปด้วยถังไวน์กลิ่นหอมไปหมด แต่ก็มืดๆชื้นๆ เข้าไปด้านใน สต๊าฟอธิบายขั้นตอนการทำ อธิบายชนิดไวน์ แล้วก็เปิดไวน์ให้ชิมเป็นขวดๆไป มีทั้งแดงทั้งขาว พอเริ่มชิม ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น เพราะพี่จีนกระดกแบบสามล้อถูกหวย ยังกะกระดกเหมาไถ กระดกหมดก็รี่มาเติ่มอีก บางคนคว้าขวดที่สต๊าฟวางไว้ตอนอธิบายต่อมาเทเอง สต๊าฟต้องคว้าขวดแทบไม่ทัน ระหว่างสต๊าฟอธิบาย พี่จีนก็คุยๆๆๆๆ รู้ว่าฟังไม่ออกแต่เดี๋ยวไกด์พี่ก็แปลให้ฟัง พี่ควรมีมารยาทบ้างไรบ้าง นี่คุยกันล้งเล้งมาก แล้วในถ้ำมันก็ก้องนะ สุดท้ายเจอ NJ โวยใส่บอกให้เงียบ! ไกด์มันก็แปลไป พวกพี่ก็เงียบลงได้ ไม่รู้อิไกด์มันบอกว่าอะไร อาจบอกว่าเงียบๆหน่อยไม่งั้นอิป้า 3 คนนี่จะงาบหัวเอานะ ผ่านไป 3-4 แก้วเริ่มกรึ่มๆแล้วด้วย กร๊ากกกก

กรึ่มกันออกมา ก็มาสาละวนเลือกซื้อไวน์ก่อนกลับ คือมันรดชาติดีมากบอกเลย ยืนปรึกษากันไปมา นั่นก็อร่อยนี่ก็ดี แดงก็เยี่ยมขาวก็ยอด สุดท้ายแบกกันมาคนละ 3-4 ขวด - -“ แล้วจะขนกลับยังไง ยังไม่ได้คิดนะ เอามาก่อน เพลีย....

กลับเข้าเมือง เราวนไปที่จุดขึ้นกระเช้าเมื่อวาน เพราะจะไปดูกีวี่ที่ Kiwi Birdlife Bird Park มันอยู่ตรงที่จอดรถเมื่อวานเลย เดินเข้าไปถึงจุดขายตั๋วเจ้าหน้าที่บอกว่าจะปิดแล้ว วันนี้ปิด 5 โมงครึ่ง นี่จะห้าโมงแล้วนะเข้าได้แต่ก็เดินได้แป๊บเดียวไม่คุ้มหรอก เลยตัดใจ ไว้หาข้อมูลใหม่ว่าดูที่ไหนได้อีก ฉันมานิวซีแลนด์ฉันต้องได้เห็นกีวี่ซิวะ!!!

พลาดหวังกีวี่เลยไปเดินเล่นในเมืองแทน เพราะจะซื้อตั๋วเรือ Milford Sound วันมะรืนด้วย ก็ไปจองเรือซะให้เรียบร้อย แล้วจึงไปเดินเล่นช็อปปิ้งชมวิวริมเลควากาติปู หาร้านกาแฟที่จะนั่งจิบไปชมวิวไปไม่ได้เลยอ่ะสุดท้ายเลยต้องนั่งร้านกลางเมือง เม้าท์มอยกันไปจนเริ่มหิว กลับห้องไปทำอาหารง่ายๆกินกัน แล้วก็งัดไวน์มาเปิด พร้อมเปิดแผ่น DVD Shotover jet กะ Bungee jump ดู สนุกสนานไปอีกคืน




จบครึ่งทริปแล้วล่ะ นอกจากซัดไวน์กันกระหน่ำแล้ว ก็ถ่ายรูปกันเมามันมาก



ตามดูต่อภาค 2 นะ ออกจาก Queenstown ล่องใต้ต่อไป ก่อนจะวนกลับขึ้นบนไป Christchurch
ลุยนิวซีแลนด์แดนกีวี - ลุยเกาะใต้ [ภาคปัจฉิมบท]








No comments:

Post a Comment